*..รอโหลดซักกะเดี๋ยว..*           ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย..๒๕๔๙
. . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ
คลิกที่นี่...ดูสด VoiceTV และ AsiaUpdate *..รอโหลดซักกะเดี๋ยวเตง..*
  

@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ่าน แถลงการณ์นิติราษฎร์ ว่าด้วย นิรโทษกรรม


อ่าน แถลงการณ์นิติราษฎร์ ว่าด้วย นิรโทษกรรม
เครดิต: prachatai.com Thu, 2013-10-31 13:53

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อ่านแถลงการณ์นิติราษฎร์ ต่อร่างนิรโทษกรรม ท่ามกลางผู้ฟังจำนวนมาก ที่ห้องประชุม LT1 คณะนิติศาสตร์ มธ. ยันร่างฯ นิรโทษกรรมมุ่งหมายเฉพาะประชาชน การแก้ไขร่างฯ ของสภาที่ขยายไปยังเจ้าหน้าที่รัฐขัดต่อเจตนารมณ์ของร่างฯ ดังกล่าว และขัดรธน. พร้อมย้ำแนวทางลบล้างผลพวงรัฐประหาร

ความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... และข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร

ตามที่นายวรชัย เหมะ กับคณะได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีหลักการและเหตุผลคือ ให้นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมือง เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศ รักษาและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง อันจะเป็นรากฐานที่ดีของการลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดอง และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว

หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาและมีมติแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว โดยขยายการนิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง "บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมา ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง" แต่ไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

เมื่อพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่งแล้ว พบว่าสภาผู้แทนราษฎรนิรโทษกรรมเฉพาะแก่ "บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่การกระทำนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น" จากถ้อยคำดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบกับหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร จะเห็นได้ว่า สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนผู้กระทำการตามที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น โดยไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม ทั้งไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 แต่อย่างใด

และเมื่อพิจารณาประกอบกับชื่อของร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวที่ใช้ชื่อว่า "ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ...." แล้ว ยิ่งทำให้เห็นประจักษ์ชัดว่าร่างพระราชบัญญัติฯ นี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ให้รวมถึงบุคคลอื่นนอกจากประชาชน จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่หนึ่ง อันเป็นการต้องห้ามตามข้อ 117 วรรคสามแห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้กระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ห้ามมิให้การแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สองขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ

นอกจากประเด็นปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว คณะนิติราษฎร์เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ยังมีปัญหาในประการต่างๆ ดังต่อไปนี้

1) การนิรโทษกรรมตามที่ปรากฏในร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ซึ่งครอบคลุมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมอันนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนที่เข้าร่วมในการชุมนุมนั้น นอกจากจะไม่เป็นธรรมต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้ว ยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) การปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของประชาชนรอดพ้นจากความรับผิดดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในอดีตนอกจากจะเป็นการตอกย้ำบรรทัดฐานที่เลวร้ายให้ดำรงอยู่ต่อไปแล้ว ยังสร้างความเคยชินให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ในการปฏิบัติต่อประชาชนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นโดยไม่ต้องกังวลว่าตนจะต้องรับผิดในทางกฎหมายในอนาคต

2) ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นนั้น กำหนดยกเว้นไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถึงแม้ว่าการกระทำความผิดของบุคคลนั้นจะเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม การบัญญัติกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ย่อมขัดหรือแย้งกับหลักแห่งความเสมอภาคที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 30 เนื่องจากหลักดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน ให้เหมือนกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญแตกต่างกันให้แตกต่างกันออกไปตามสภาพของสิ่งนั้นๆ การนิรโทษกรรมตามความมุ่งหมายของร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญอยู่ที่การยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นความผิดฐานใด ดังนั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตัดมิให้ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ได้กระทำไปโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระอย่างเดียวกันให้แตกต่างกัน และขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ

3) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้ มีผลกับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งครอบคลุมเหตุการณ์จำนวนมาก มีบุคคลที่อาจได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้หลายกลุ่ม และบุคคลดังกล่าวถูกดำเนินคดีในขั้นตอนที่แตกต่างกัน จากเหตุหลายประการดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความซับซ้อนจนหลายกรณีไม่อาจระบุลงไปให้แน่ชัดได้ว่าบุคคลใดบ้างเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จึงอาจทำให้การวินิจฉัยไม่เป็นเอกภาพ ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคในชั้นของการบังคับใช้กฎหมายในท้ายที่สุด

4) ถึงแม้ว่ากระบวนการกล่าวหาบุคคลที่เกิดขึ้นโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 จะดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม และบุคคลที่ถูกกล่าวหาและถูกพิพากษาว่ามีความผิดสมควรได้รับคืนความเป็นธรรมก็ตาม แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีสภาพและลักษณะของเรื่องแตกต่างไปจากการกระทำของบุคคลที่ถูกกล่าวหาโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ประการสำคัญ ในสภาวการณ์ความขัดแย้งของสังคมขณะนี้ การเสนอให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลดังกล่าวอาจเหนี่ยวรั้งให้การหาฉันทามติในการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า หรือไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ทั้งนี้ การแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมให้กับบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการทำรัฐประหารสมควรกระทำด้วยการลบล้างผลพวงของรัฐประหารตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์

5) มีข้อสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมให้กับการกระทำความผิดใดๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ศ. 2547 จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมตั้งแต่พ.ศ. 2547 อาจส่งผลให้มีเหตุการณ์หรือการกระทำความผิดบางอย่างที่ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ด้วย

6) นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตด้วยว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบต่อเนื่องมา ไม่ว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงนั้น เมื่อพิจารณาจากคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงย่อมทำให้รัฐต้องคืนสิทธิให้แก่ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม เช่น ในคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว รัฐมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยึดมาตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา ถึงแม้ว่าคณะนิติราษฎร์จะเห็นว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการที่จะได้รับคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดไปโดยกระบวนการทางกฎหมายที่เชื่อมโยงกับการทำรัฐประหาร แต่การที่จะได้รับคืนทรัพย์สินดังกล่าวนั้นควรจะต้องเป็นไปโดยหนทางของการลบล้างคำพิพากษาตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร มิใช่โดยการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัติฯ นี้


ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์

โดยเหตุที่ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ มีปัญหาบางประการดังกล่าวมาข้างต้นคณะนิติราษฎร์ จึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้

1) ต้องแยกบุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ออกจากบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549

2) ให้ดำเนินการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่นิรโทษกรรมให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ตลอดจนการสลายการชุมนุมไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใดๆ ทั้งนี้ ตามร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง ที่คณะนิติราษฎร์ได้เคยเสนอไว้

3) สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ให้ลบล้างคำพิพากษา คำวินิจฉัย ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในทุกขั้นตอนที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำรัฐประหาร ทั้งนี้ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร

4) อย่างไรก็ตาม โดยเหตุที่ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ไม่ได้รับการพิจารณานำไปปฏิบัติจากผู้เกี่ยวข้อง ประกอบกับขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการนิรโทษกรรมอยู่ในระหว่างการพิจารณาในวาระที่สองของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การนิรโทษกรรมแก่ประชาชนซึ่งกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นไปโดยรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นอยู่ คณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้พิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้

4.1 เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฯ จนขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ทำให้มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงไม่สามารถใช้เป็นฐานในการพิจารณาในวาระที่สองได้ ด้วยเหตุนี้ สภาผู้แทนราษฎรจึงสมควรแก้ไขความบกพร่องดังกล่าวโดยการลงมติว่ากระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ นี้ขัดกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรข้อ 117 วรรคสาม เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตกไป

4.2 ให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติยกเลิกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดเดิม และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาเพื่อเริ่มพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระที่สองใหม่

คณะนิติราษฎร์: นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สตอรี่.. แบงค์พัน 1,000 บาท จ้าาาาา...


[เตือนภัย] ธนบัตรปลอมรุ่นใหม่เหมือนมาก
By: 2th.me/

มันมาอีกแล้ว หลังจากหายไปได้พักใหญ่ แน่นอนว่ากลับมาใหม่ครั้งนี้อัพเกรดขึ้นกว่าเดิม ชนิดดูผิวเผินนี่ยังไงก็ของจริงเลยทีเดียว จะเนียนแค่ไหนเราลองมาดูกัน


เอ่อ...ถ้าไม่เขียนแบงค์ปลอมนี่ดูยังไงก็จริง ขนาดแถบฟอยล์ยังใช่เลย พลิกๆสีรุ้ง มีครุฑ แถมลองจับดูก็เป็นเนื้อธนบัตรแบบของจริง (ไม่ใช่เนื้อกระดาษทั่วไปแบบของปลอมกากๆ)

คราวนี้มาส่องไฟแบล็คไลท์เปรียบเทียบกับของจริงกัน ถ้าของปลอมปกติจะเรืองแสง


[เฮ้ย!! เหมือนเด๊ะๆอ่ะ แถมมีพรายน้ำเหมือนกันด้วย !!]

แต่ถึงจะเนียนของปลอมก็คือของปลอม ยังไงก็ยังมีจุดสังเกตอยู่ ใช้ความช่างสังเกตกันนิดหน่อย

ข้อสังเกตของแบงค์ปลอมรุ่นนี้ :-

:: รอยต่อ ::

มันคือรอยต่อของกระดาษ 4 ท่อน(บางรุ่น 3 ท่อน) โอ้ แม่เจ้า!!

อันนี้เนียนจริงอะไรจริง ถ้าไม่ยกส่องไฟแทบไม่สังเกตเลย แถมกาวที่ใช้ต่อก็เป็นกาวชนิดพิเศษคุณภาพดี(ยังจะชม) ลูบแล้วไม่รู้สึกสะดุดเลยด้วยซ้ำ


:: สีของตัวเลข 1,000 ::

อันนี้ยังใช้วิธีดูแบงค์ 1,000 ปลอมได้ดีไม่ว่าจะรุ่นไหน (ถ้าปลอมแบงค์อื่นซวยไป -_-)

แบงค์ 1,000 จะเปลี่ยนสีเวลาเปลียนมุม ถ้ามองตรงๆจะเป็นสีทองแดง พลิกแล้วเป็นสีเขียว

อันนี้ของจริง...

อันนี้ปลอม สีจะไม่เปลี่ยน...

แสดงว่า แก๊งปลอมธนบัตร มันได้ ชิ้นส่วน แบงค์ที่สับทำลายแล้ว แอบ เอาออกมาได้ไง เหลือเชื่อ... แต่เป็นไปแล้ว เพราะ มีรอยต่อ แบบย่อยกระดาษต่อกัน เป็น เทคนิคโรงพิมพ์ ระดับสูง แบบนี้ พวกขายซัพพลาย ให้ โรงพิมพ์ธนบัตร ของรัฐ มีรู้เห็นแน่...

:: ลายน้ำ ::

ดูเผินๆแล้วพระพักตร์ก็ชัดเจน ลายดอกไม้ก็โปร่งใสตามแบบฉบับของแบงค์จริงชัดๆ

แต่มีใครเคยสังเกตพระพักตร์ในหลวงกับลายน้ำรูปดอกไม้ที่แบงค์กันมั่งไหม?

ถ้ายังนึกไม่ออก นี่คือตัวอย่างลายน้ำของแต่ละแบงค์จริงแต่ละราคา


คุ้นๆกันรึยัง?

ใช่แล้ว! (ถ้าไม่คุ้นก็เออออหน่อย เฉลยแล้วค่อยกลับขึ้นไปดู ฮา)

มันคือลายน้ำของแบงค์ 20 !!

นี่เป็นสาเหตุหลักเลยว่าทำไมแบงค์ปลอมอันนี้มันถึงเหมือนแบงค์จริงมากๆ เนื้อกระดาษก็เป็นเนื้อธนบัตร ส่องแล้วมีพรายน้ำ

เพราะมันคือ "แบงค์ปลอมที่ทำมาจากแบงค์จริง"

เป็นการตัดต่อกันระหว่างแบงค์ 1,000 จริงๆ กับ แบงค์ 20 ที่ถูกฟอกและพิมพ์ใหม่ให้เป็นแบงค์ 1,000

ใบนี้มีส่วนที่เป็นแบงค์ 1,000 จริงๆ คือแถบฟอยล์สีรุ้งเท่านั้น นอกนั้น 20

(ถ้าไม่ทันสังเกตลองย้อนกลับไปดูรูปแรก หมายเลขแบงค์ยังเป็นเลขเดียวกันเลย จริงๆ 2 ใบนี้ได้มาจากต่างที่นะ แต่สงสัยจะมาจากแหล่งเดียวกัน)

แทบจะยอมมันเลย ความพยายามและความสามารถคุณสูงมากกกกกกก... มากจนเอาไปทำอย่างอื่นที่มันสร้างสรรค์กว่านี้จะไม่ดีกว่าเหรอ(วะ) !?!

แถม : อันนี้ด้านหลังไม่ค่อยเนียน สังเกตง่ายนิดนึง (ความเนียนขึ้นอยู่กับฝีมือคนทำแต่ละใบ) แถบสีเงินก็ใช้ปากกาสีเงินเขียนเอาหน้าด้านๆแบบนี้ล่ะ

ps. จริงๆแบงค์ 20 กลายสภาพมาเป็นแบงค์ได้ทุกราคานะ แต่พอดีไม่มีตัวอย่าง

ข้อมูลที่มา : *** ได้รับผ่านเมล์จากเพื่อนๆ มาอีกที ยังไงก็เอามาให้ดูเพื่อเป็นข้อสังเกต ส่วนขบวนการ วิธีการ เป็นแบบไหน จขกท ก็ไม่ทราบ ***

อ้างอิงจาก : การขอแลกเปลี่ยนธนบัตรชำรุด ธปท.

ธนาคารมีนโยบายรับเปลี่ยนแบงค์ที่ชำรุด ถ้าแบงค์ที่มาเปลี่ยน ขาดครึ่งใบ ก็จะได้เงินจริงครึ่งนึง ถ้ามีน้อยกว่าครึ่ง ไม่ได้เงิน แต่ถ้ามีมากกว่า ครึ่งส่วน สามารถได้เงินไปเต็มๆ

ดังนั้น ถ้าคนทำ มันตัดเงินจริง แค่ส่วนของฟลอย์ มาใบนึง แล้วตัดส่วนของ เลข 1000 มาจากอีกใบ แล้วไปเอา ส่วนของแบงค์ 20 มาประกบตรงกลาง ก็เพิ่มมูลค่ามาได้แล้ว ส่วนแบงค์ที่ตัดขาด ก็สามารถนำไปแลกคืนได้จากธนาคารได้เต็มจำนวนเหมือนเดิม





สำหรับเรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบเพราะอ่านเจอในเน็ตเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วก๊อปไว้ในเครื่อง...

"...วันก่อนไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านเล็กๆริมถนนแห่งหนึ่ง ไปกินกัน 5 คน กินเสร็จก็สั่งเก็บเงิน ยอดรวม 280 บาท เพื่อนผมจ่ายแบงค์ 1,000 บาทให้ไป แม่ค้าก็รับไปแล้วเดินไปจะทอนเงิน สักพักเดินกลับมาโวยวายว่า แบงค์ 1,000 บาท ที่จ่ายให้ไปนั้น เป็น 'แบงค์ปลอม' แม่ค้าตะโกนว่าโต๊ะผม เสียงดังมาก แล้ววางแบงค์ปลอม 1,000 บาท ลงบนโต๊ะ ตอนนั้นคนในร้านมีอยู่ 3-4 โต๊ะ ก็เริ่มมองๆมาที่โต๊ะผม

เพื่อนผมเพิ่งจะกดเงินมาจากตู้เอทีเอ็ม เป็นแบงค์ใหม่หมด เลขในแบงค์ก็เรียงกัน แต่ใบที่แม่ค้าเอามาวางคืนให้เป็นแบงค์เก่า ก็เลยเถียงกันไปเถียงกันมา แม่ค้าก็ยังไม่ยอม เพื่อนผมมันจึงแกล้งบอกว่า จำเลขในแบงค์ได้ แม่ค้าก็ไม่ยอม

พอดีมีตำรวจมาซื้อของที่ร้านข้างๆ ก็เลยเดินไปเรียกมา บอกให้ช่วยค้นตัวแม่ค้าดูว่า มีแบงค์ 1,000 บาทใบอื่นหรือไม่ แม่ค้าไม่ยอมให้ค้นตัว แต่เดินไปหยิบเงินทอนมาให้ 800 บาท(ทอนเกิน) แล้วบอกตำรวจว่า ไม่มีอะไร..."

* * * * *

ควรคำนึง : ตรวจสอบแบงค์ 1,000 ในมือเราให้ดีก่อนจะจ่ายออกไป ให้ใช้กล้องมือถือถ่ายเก็บไว้เลย หรือจะใช้วิธี จดหมายเลขธนบัตร ไว้ป้องกันตัวเองซึ่งอาจจะถูกคนรับตู่เอาว่าเราจ่ายแบงค์ปลอมให้เขา

ขอให้โชคดี อย่ามาถูกหวยกะไอ้แบงค์ปลอมเหล่านี้เลยจ้า...

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลำดับความเป็นมา..คดีที่ดินรัชดา คดีสะเทือนโลก!!!



ตอนที่ 1... คดีที่ดินรัชดา คดีสะเทือนโลก!!!
By: คนการเมือง

1. กฎหมาย ปปช. มาตรา 100 (1) บอกว่าห้ามนายกฯ และรัฐมนตรี เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ กฎหมายนี้มีมาเมื่อปี พ.ศ. 2542 กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ อยู่ในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศขายที่ดินโดยการประมูลในปี 2546

หมายเหตุ: ปี 2546 ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นหน่วยงานอิสระ ไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐ

๑... พระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี

๒... พระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี

คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ประมูลได้และชำระเงินเสร็จเมื่อเดือนธันวาคม 2546 โดย พ.ต.ท.ทักษิณเซ็นชื่อรับรองในฐานะคู่สมรสของผู้ซื้อ ตามหลักการปกติของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป

วันที่ 19 กันยายน 2549 พวกกบฏยึดอำนาจนายกฯทักษิณ

ปี 2550 พวกกบฏสั่งให้ สนช. แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานของรัฐ สภาทาสเผด็จการ แก้ไขสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2551 ห่างจากวันซื้อขายถึง 5 ปีเต็มๆ

๓... พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย(ฉบับที่ 4)พ.ศ.2551 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี

แล้วก็สั่งให้ลิ่วล้อคือ คตส. ทำเรื่องฟ้องว่านายกทักษิณ เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ เป็นการออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อกำจัดคนๆเดียว โดยยอมให้บ้านเมืองย่อยยับ ปกติศาลทั่วโลกจะไม่ยอมรับการออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อเอาผิด ต่อบุคคลใดๆ

แต่ ผู้พิพากษา 5 คน ของไทย ได้ยอมว่าทำได้ แต่อีก 4 ท่านบอกไม่ผิด เรื่องนี้ได้มีผู้พิพากษาอาวุโสคนหนึ่งออกมาขอโทษประชาชนทันที แต่ 5 คนนั้น เฉย

นั้นคือความเป็นไป ที่ทำให้คนเสื้อแดงขยายตัวมากขึ้น เพราะทนดูการปฏิบัติที่ไร้มาตรฐานของพวกเผด็จการ และสมุนอำมาตย์ ที่หน้าด้านหน้าทน กล้าทำทุกอย่างเพื่อทำลายล้างคนๆเดียว

2. คดีการซื้อขายนี้ ได้ถูกสั่งยกเลิก ให้ถือว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ มีการคืนเงินค่าซื้อขายพร้อมดอกเบี้ย ให้คุณหญิงพจมานไปเป็นที่เรียบร้อย หากคำสั่งนี้มีผลก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง จะพิพากษาเสร็จ ก็จะเสมือนว่าไม่มีการกระทำผิดใดๆเกิดขึ้น

โดยปกติ บทลงโทษที่มีต่อผู้ต้องคดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการต่อบ้านเมืองมาก่อน และไม่เคยมีประวัติเคยถูกจำคุกมาก่อน ศาลจะสั่งให้มีเหตุให้บรรเทาโทษ หรือให้รอลงอาญาไว้ก่อน

"แต่กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับถูกสั่งลงโทษทันที"

3. คดีดังกล่าวนี้ นานาชาติมองว่าเป็นคดีการกลั่นแกล้งทางการเมือง จึงไม่ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักโทษร้ายแรง แต่ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กลับหลอกประชาชนคนไทยว่า ตำรวจสากลออกหมายแดงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังพยายามใช้ทุกวิถีทางที่จะไล่ล่า บีบบังคับให้นานาชาติไม่ให้อนุญาตออกวีซ่าให้นายกทักษิณเข้าประเทศ ทั้งยังจะให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน จนก่อความอึดอัดรำคาญแก่นานาชาติเป็นที่สั่นสะเทือนอารมณ์ไปทั่วโลกที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไป ตลอดอายุของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ผ่านมา

คนไทยต้องทนอับอายต่อมิตรประเทศ กับการกระทำของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จนถึงวันประชาชนพิพากษาในวันที่ 3 ก.ค.2554 เลือกรัฐบาลใหม่นี่เอง


By: ปีศาจValkyrie : ผมไม่เคยคิดว่าทักกี้คือนักโทษ แต่เขาคืออดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกปฏิวัติยึดอำนาจ คดีที่ทักกี้โดนคือคดีที่ไม่ได้ขึ้นศาลปกติทั่วไป มันเป็นเรื่องที่น่าละอายที่อดีตนายกฯโดนคดีเพราะเซ็นชื่อให้ความยินยอมภรรยาในการประมูลที่ดินหรือจะทำนิติกรรมหลังประมูลที่ดินอะไรก็แล้วแต่ มันทุเรศ

อีก 20 ปีข้างหน้านี้ คดีนี้จะเป็นคดีตัวอย่างที่นักศึกษากฎหมายทุกคนต้องเรียน เรียนเพื่อให้รู้ว่าการเป็นนักกฎหมายที่ดีต้องมีจรรยาบรรณ ไม่ควรเป็นเครื่องมือรับใช้อำนาจเผด็จการ

คลิกที่นี่.. เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดีประวัติศาสตร์ทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ จำคุก "ทักษิณ" 2 ปี - "พจมาน" รอด


ตอนที่ 2... ให้ข้าราชการมาทำงานวันสิ้นปีเพื่อหลีกเลี่ยงค่าโอนที่ดินรัชดา???
By: ผีน่ารัก เว็บpantip-ราชดำเนิน

*** ที่ดินรัชดา"แม้ว-อ้อ"งกจนได้เรื่อง
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9500000072910

คัดลอกพอสังเขป: " ... สนธิ - ข้อที่ 4 น่าสนใจมาก พอโอนเสร็จ รีบเร่งโอนที่ดินของกองทุนฯ ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เอื้อผู้ชนะประมูลไม่ต้องเสียภาษีมาก รวยฉิบหายเลยนะ นี่ผมต้องขอพูดอย่างหยาบๆ นะ ยังโกงแม้กระทั่งค่าโอนที่ดินแค่ 10 กว่าล้าน ก็ยังไม่ยอมเสีย ผมจะบอกให้เป็นอย่างไร คือรัฐบาลเขาตั้งอัตราค่าธรรมเนียมการโอนที่เขาต้องการส่งเสริมการซื้อที่ดิน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เขาขยายระยะเวลามาจนถึงปลายปี 2546 แล้วก็ที่ดินผืนนี้ ถ้าโอนภายในปี 2546 ก็จะเสียภาษีแค่ 722,000 บาท ถ้าโอน 47 เสีย 2 เปอร์เซ็นต์ เสีย 15 ล้านบาท เห็นไหม กับแค่ 13-14 ล้านบาท อั๊วก็ไม่ยอมเสีย วิธีลื้อไม่ยอมเสียลื้อทำยังไง ก็ให้ผัวลื้อ ประกาศว่าวันพุธที่ 31 ธันวาคม

สนธิ - จำได้หรือเปล่าพ่อแม่พี่น้อง มีอยู่ปีหนึ่ง พุธที่ 31 ธันวาคม 2546 บอกว่าไม่ใช่วันหยุด เป็นวันทำงาน ดูมันสิ เห็นหรือยัง เพื่อให้กรมที่ดินทำงาน อีจะได้โอนที่ดินให้คุณหญิงพจมาน โอนในวันที่ 31 ธันวาคม 2546 เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้อง ที่ดินที่ควรจะซื้อในราคากลางก็ไม่ยอมจ่าย ภาษีเล็กๆ น้อยๆ 10 กว่าล้าน ก็ไม่ยอมจ่าย มีเงิน 7-8 หมื่นล้าน ในประเทศ ซ่อนไว้เมืองนอกอีก 7-8 หมื่นล้าน เบ็ดเสร็จอีมีเงินแสนกว่าล้าน เงินแม้กระทั่งเล็กแค่นี้อียังไม่ยอมให้รัฐ ... "

* * * * *

วันก่อนรายการตอบโจทย์ทนายพันธมิตรก็ยังเอาเรื่องนี้มากล่าวหาทักษิณ เลยเอามาให้อ่านกันอีกทีครับ ไม่ได้หวังว่าคนเกลียดจะเลิกเกลียด แต่หวังว่าผู้ที่มีใจเป็นกลางจะได้ข้อมูลอีกด้านไปพิจารณาครับ

เรื่องการที่ให้ข้าราชการมาทำงานในวันสิ้นปีเพราะต้องการหลีกเลี่ยงค่าโอนที่ดินรัชดาซึ่งจะโอนกันในวันนั้นโดยใช้อำนาจหน้าที่ออกมติคณะรัฐมนตรีประกาศให้วันที่ 31 ธันวาคม 2546 ซึ่งเป็นวันสิ้นปีเป็นวันทำงานนั้น

ถ้าทักษิณทำแบบนี้จริงผมก็ถือว่าเลวสิ้นดีครับ ไม่น่าเกิดบนแผ่นดินไทยที่ผมรักด้วยซ้ำ...

เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนกลับทำให้ข้าราชการต้องลำบากลำบนมานั่งทำงานเพียงเพื่อต้องการรักษาผลประโยชน์ส่วนตนซึ่งเป็นเงินไม่กี่ล้านบาท ซึ่งท่านก็ต้องมีปัญญาจ่ายอยู่แล้วเงินแค่นี้

คนเลวมีหลายประเภทแต่ประเภทที่ผมเกลียดที่สุดก็คือคนที่เอาเปรียบสังคมนี่แหละครับ...คนประเภทนี้อยู่ที่ไหนก็รังแต่จะสร้างความแตกแยกให้สังคม ถ่วงความเจริญของประเทศและสังคม ถ้าท่านทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางนั้นจริงผมก็ขอแช่งให้เวรกรรมที่ทำไว้กับสังคมและแผ่นดินเกิดย้อนกลับไปหาในชาตินี้ครับ

ถ้าคนชื่อ ทักษิณ คิดเล็กคิดน้อยกับเงิน ที่ต้องจ่ายภาษี ให้รัฐแค่ 10 กว่าล้านบาท ตามที่เจ็กลิ้มพูด ก็สู้เอาเงินที่ต้องใช้หนี้คืนกองทุน IMF ก่อนกำหนด มาฝากแบงค์ประเทศอังกฤษ แล้วกินดอกเบี้ยส่วนต่างไม่ดีกว่าหรือ? ได้มากกว่าที่จะไปงกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

แต่ดีนะครับที่ท่านทักษิณไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เพราะถ้ารู้จักใช้หลักกาลามสูตร ลองตรองดูแล้วท่านน่าจะถูกกล่าวหาโดยข้อหาปัญญาอ่อนไร้สาระ ไม่ประเทืองปัญญาซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มความเกลียดชังให้สาวกซะมากกว่าเพราะถ้าลองตรองดีๆจะพบว่า

1. มติคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้ออกมาในวันที่ 25 พ.ย.2546และเป็นวันเดียวกันกับที่กองทุนฟื้นฟูประกาศให้มีการประมูลที่ดินรัชดารอบ 3 ทักษิณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะประมูลได้หรือเปล่ากระบวนการจะเสร็จวันไหนจะประกาศให้วันที่ 31 ธ.ค.2546 เป็นวันทำงานเพื่อประโยชน์ตัวเองได้อย่างไรครับ

2. มติ ครม.ในวันนั้นให้เหตุผลว่าอย่างนี้ครับ

" ... เรื่อง กำหนดให้วันที่ 2 มกราคม 2547 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ กำหนดให้วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2547 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ และให้วันพุธที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็นวันปฏิบัติราชการ

ทั้งนี้ การกำหนดให้วันที่ 2 มกราคม 2547 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เป็นการดำเนินการแนวทางเดียวกับวันหยุดเทศกาลปีใหม่ในปีที่แล้ว จะช่วยลดปัญหาการใช้สิทธิลาก่อน – หลังวันหยุดราชการเพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ทำให้ข้าราชการ ลูกจ้างของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมครอบครัว และภูมิลำเนาของตน รวมทั้งเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ สำหรับรัฐวิสาหกิจ และหน่วยราชการใดที่มีภารกิจจำเป็นเร่งด่วนหรือราชการสำคัญที่จะต้องดำเนินการในวันดังกล่าว หากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายต่อทางราชการหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ก็ให้รัฐวิสาหกิจและหัวหน้าส่วนราชการนั้นๆ พิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป ... "

ผมถือว่าเหตุผลฟังขึ้นนะครับเพราะนอกจากจะช่วยไม่ให้ลูกจ้าง,ข้าราชการสิ้นเปลืองวันลาโดยใช่เหตุแล้วยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกตะหาก เก่งจัง...

แล้วช่วยไม่ให้ข้าราชการและลูกจ้างสิ้นเปลืองวันลาอย่างไร...ก็ลองเปิดปฏิทินดูก็จะพบว่าในปี 2546 วันที 31 ธ.ค.ตรงกับวันพุธ ดังนั้นในวันที่ 2 มกราคม 2547 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ก็จะเป็นวันทำการซึ่งคงไม่มีใครอยากมาเท่าไร บางคนบ้านไกลๆก็กลับบ้านไม่ได้เพราะวันหยุดไม่ติดต่อกัน รัฐบาลทักษิณก็เลยให้มาทำงานในวันที่ 31 ธ.ค.และให้หยุดในวันที่ 2 มกราคมไงครับ

3. ในคำฟ้องของ คตส. คดีที่ดินรัชดา มีตอนหนึ่งว่าอย่างนี้ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=59451

คัดลอกพอสังเขป: " ... ต่อมากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวใหม่ โดยกันส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออก การแบ่งแยกที่ดินจาก 13 โฉนด เหลือเพียง 4 โฉนด เลขที่ 2298, 2299, 2300 และ 2301 เหลือเนื้อที่เพียง 33-0-78.9 ไร่ แล้วประกาศประมูล เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 โดยกำหนดให้ผู้เข้าประกวดราคาต้องวางเงินมัดจำการยื่นซองเป็นเงินถึง 100 ล้านบาท ซึ่งเกิน 10% ตามที่ระบุในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นระเบียบที่นำมาใช้ในการปฏิบัติ มีผู้ซื้อแบบ 4 ราย แต่มีผู้ยื่นซองเสนอราคาและชำระเงินมัดจำการยื่นซอง 3 ราย คือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 730,000,000 บาท, บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 750,000,000 บาท และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สมรสจำเลยที่ 1 เสนอราคา 772,000,000 บาท

กระทั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯอนุมัติให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชนะการประมูลและกำหนดให้จำเลยที่ 2 นำเงินมาชำระก่อนวันที่ 29 ธันวาคม 2546 ต่อมาได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์พร้อมส่งมอบที่ดินวันที่ 30 ธันวาคม 2546 โดยการทำนิติกรรมจำเลยที่ 1 ได้ลงนามยินยอมพร้อมแสดงสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทข้าราชการการเมือง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ... "

* * * * *

สรุปสั้นๆได้ว่า คุณหญิงพจมานได้ชำระเงินตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.46 (เป็นอย่างน้อย) และการโอนเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.46 แล้วครับ ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศให้วันที่ 31 ธ.ค.46 เป็นวันทำงานแต่อย่างใด...

ดังนั้นการปล่อยข่าวให้ร้ายผู้อื่นทั้งที่ตนเองก็รู้อยู่แล้วว่าไม่จริงโดยมีเป้าหมายหลอกลวงคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ถ้าสำนวนที่สนธิใช้ก็ต้องบอกว่า เข้าไม่ถึงข้อมูลเหมือนที่คนดูเอเอสทีวีได้รับ) นั้น ผมถือว่าชั่วซะยิ่งกว่าที่ผมด่าเอาไว้ด้านบน และขอให้ที่ผมแช่งเอาไว้ตามกระทู้กลับไปหาคนปล่อยข่าวเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคมเพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเองโดยเร็วครับ 555555


ศาลแพ่งสั่งกองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินค่าที่ดินรัชดาฯ ให้คุณหญิงพจมาน 772 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

24ก.ย.2553 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกจำนวน 33 ไร่เศษ ระหว่างกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโมฆะตามคำร้องของพนักงานอัยการ หลังศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ จึงมีคำสั่งให้คุณหญิงพจมานคืนที่ดินดังกล่าวจำนวน 4 แปลง จำนวน 33 ไร่ให้แก่กองทุนฟื้นฟูฯ และให้กองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินจำนวน 772 ล้าน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้แก่คุณหญิงพจมานด้วย

7ต.ค.2553 ธปท.คืนเงินซื้อที่ดินรัชดาฯ 823 ล้านบาท ให้ 'คุณหญิงพจมาน' หลังปรึกษาอัยการบอกไม่คุ้มหากแพ้อุทธรณ์ ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 1 แสนบาท

นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า

ธปท.ได้คืนเงินให้กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กรณีที่ดินรัชดาฯ เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นเงินต้นบวกดอกเบี้ยจำนวน 823 ล้านบาท หลังได้รับคำตอบจากอัยการสูงสุด ว่าหากกองทุนฟื้นฟูฯยื่นอุทธรณ์ หากแพ้คดีต้องจ่ายค่าปรับสูงถึงวันละ 1 แสนบาทกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งให้กองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินซื้อที่ดินรัชดาฯ ให้คุณหญิงพจมาน


ตอนที่ 3... ย้อนรอย "ที่ดินรัชดา"
By: minimalist เว็บpantip-ราชดำเนิน

ปี 2538 สมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ดินจำนวน 35 ไร่เศษได้รับโอนมาจาก บง.เอราวัณทรัสต์ ในมูลค่า 2,000 ล้านบาท ให้กับกองทุนฟื้นฟู ระบบสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทมีปัญหาทางการเงิน กองทุนฟื้นฟูเข้าไปอุ้มได้ที่ดินเป็นหลักประกัน

ปี 2538-2540 กองทุนได้จำหน่ายที่ดินที่ยึดมา แต่ขายไม่ออก เพราะเริ่มอยู่ในช่วงต้นภาวะฟองสบู่ ธุรกิจพัฒนาที่ดินกำลังส่อปัญหา จนถึงปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ต้องหยุดการจำหน่ายเริ่มจำหน่ายอีกครั้งปี 2546

ต้นปี 2546 ครั้งแรกได้เปิดการประมูลทางอินเทอร์เน็ต กำหนดราคากลางไว้ที่ 870 ล้านบาท ปรากฏไม่มีใครเข้าประมูล ทั้งที่มีผู้สนใจ 20 ราย ต่อมาปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวเจ้าของได้โอนให้เป็นที่สาธารณประโยชน์เพื่อทำถนน และลำรางสาธารณะ ไป 2 ไร่เศษ โดยได้ทำการรังวัดหลังสุด จึงทำให้ที่ดินเหลือจริงเพียง 33 ไร่

กรกฎาคม-ธันวาคม 2546 จึงหันมาใช้ระบบประมูลแบบเปิดซองทั่วไปโดยยื่นตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.2546 ประมูลเสร็จสิ้นในเดือน ธ.ค.2546 ปรากฏว่า มีผู้เข้าประมูล 4 ราย ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ 3 ราย เสนอราคาสูงกว่าราคาประเมินทั้ง 3 ราย ประมูลได้ที่ราคาตารางวาละ 5.8 หมื่นบาท (ราคาประเมินตารางวาละ 5 หมื่น 2 พันบาท) ซึ่งผลปรากฏว่า ตัวแทนของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร คือ นายสมบูรณ์ คุปติมนัส เสนอราคาสูงสุด คือ 772 ล้านบาท สูงกว่าราคาประเมิน คือ 695.8 ล้านบาท ส่วนรายอื่นๆ คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เสนอ 730 ล้านบาท โนเบิล เสนอ 750 ล้านบาท บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ เสนอ 750 ล้านบาท

ซึ่งกองทุนฟื้นฟู ก็ได้ดำเนินการโอนเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 30 ธ.ค.2546 ซึ่งได้สิทธิทางภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอน ก่อนที่รัฐบาลจะปรับอัตราใหม่

* * * * *

สรุปความเป็นมาของที่ดินที่ขายให้ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร

กองทุนฟื้นฟูฯ ประมูลซื้อจากบริษัท เอราวัณ ทรัสต์ จำกัด เมื่อ พ.ศ. 2538 – 2539 จำนวน 31 โฉนด เนื้อที่ 1.21-2-55.1 ไร่ มูลค่ารับโอนรวม 4,889,397,500 บาท ราคาเฉลี่ยตารางวาละ 100,491 บาท แบ่งเป็น 2 โซน คือ

โซนที่ 1 ที่ดินบริเวณข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 18 โฉนด เนื้อที่รวมประมาณ 85-3-68 ไร่ มูลค่า 2,749,040,000 บาท

โซนที่ 2 (โซนที่คุณหญิงได้เข้าประมูล) ที่ดินบริเวณฝั่งตรงข้ามสถานทูตเกาหลี เยื้องกับโครงการเมืองรุ้ง และโรงแรมปี๊ปอิน ตลอดจนบริเวณใกล้เคียงกับสถานีจอดรถไฟฟ้าใต้ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รถไฟฟ้ามหานคร) จำนวน 13 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 35-2-87.1 ไร่ มูลค่า 2,140,357,500 บาท

จะสังเกตว่าราคาตอนนั้นมันสูงมากๆ..เป็นแสนต่อตารางวา..ซึ่งเป็นช่วงที่ผลมาจากเศรษฐกิจฟองสบู่..ที่ยังไม่แตก...ขณะนั้นราคาที่ดินจึงสูงมาก..ซึ่งต่างกับราคาทุกวันนี้

* * * * *

โซนที่ 2 นำออกประมูลขายครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 โดยวิธีประมูลขายทาง Internet

โดยประมูลขายตามสภาพและเนื้อที่ตามโฉนด (35 ไร่ 2 งาน 92.1 ตารางวา รวม 13 โฉนด) (14,292.1 ตารางวา) ในราคาเริ่มต้นการประมูลที่ 870 ล้านบาท (ตารางวาละ 60,872.79 บาท)

มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมประชุม จำนวน 3 รายคือ (จากผู้สนใจ จำนวน 20 ราย)

1. บมจ.แสนสิริ
2. บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
3. บจ.ทองหล่อ เรสซิเดนซ์

ผลการประมูลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 ไม่มีผู้เสนอราคา

สาเหตุที่ไม่มีผู้เสนอราคา

1. ราคาเริ่มต้นตั้งประมูลขายที่ 870 ล้านบาท สูงเกินไป เนื่องจากการคิดราคาตั้งขายจากเนื้อที่เต็มตามโฉนด แต่เนื้อที่ใช้ประโยชน์ได้จริงมีไม่เต็มตามเนื้อที่ในโฉนด เพราะมีการที่อุทิศที่ดินบางส่วนให้เป็นสาธารณะประโยชน์ – ถนนเทียมร่วมมิตร และที่ให้ประชาชนใช้เป็นทางเข้า – ออกไปก่อนกองทุนรับโอน

2. เป็นพื้นที่สีส้ม ประเภทหนาแน่นปานกลาง มีข้อจำกัดทางกฎหมายในการควบคุมอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่พิเศษ

* * * * *

การนำออกประมูลขายครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2546 โดยวิธียื่นซองประกวดราคา

ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดการกองทุน ครั้งที่ 9/2546 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2546 ระเบียบวาระที่ 5.2 ให้ชะลอการประมูลขายที่ดินบริเวณ ดังกล่าวออกไปก่อนเพื่อดำเนินการรังวัดและแบ่งแยกโฉนดในส่วนที่อุทิศที่ดิน เพื่อใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ – ถนนเทียมร่วมมิตร และส่วนที่ประชาชนใช้เป็นทางเข้า – ออกให้ชัดเจน

ผลการรังวัด แบ่งแยกโฉนด และรวมโฉนด เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2546 คงเหลือเนื้อที่จริง 33 ไร่ 78.9 ตารางวา (13,278,9 ตารางวา รวม 4 โฉนด)

ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดการกองทุน ครั้งที่ 11/2546 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 มีดังนี้

1. อนุมัติให้เสนอขายที่ดินตามเนื้อที่ ที่ได้มีการรังวัดใหม่แล้ว จำนวน 4 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 33-1-12.4 ไร่ พร้อมทั้งให้แจ้งรายละเอียดให้ผู้ซื้อทราบเกี่ยวกับส่วนที่อุทิศให้เป็นถนนเทียมร่วมมิตร และส่วนที่อาจถูกแบ่งหักเป็นคลองลำชวดบางจาก รวมทั้งการขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินดังกล่าวให้เป็นภาระของผู้ซื้อด้วย

2. ให้ใช้วิธีการประมูลขายโดยยื่นซองประกวดราคา

3. ไม่กำหนดราคาขั้นต่ำในการขายที่ดิน แต่กำหนดเงื่อนเวลาในการชำระเงินเป็นเงินสดทั้งหมดภายใน 7 วัน นับจากวันเปิดซองประกวดราคา

4. อนุมัติกระบวนการและกำหนดการในการขายตามที่เสนอ โดยกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 16 ธันวาคม 2546

5. ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อเปิดซองประกวดราคา โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และกรรมการประกอบด้วยผู้จัดการกองทุน และบุคคลอื่นที่เหมาะสมตามที่ประธานเสนอ

* * * * *

ประกาศกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ย่อที่เกี่ยวข้อง)

เรื่อง การจำหน่ายที่ดินโดยวิธีการประกวดราคา ครั้งที่ 1 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546

ข้อ ง. เงื่อนไขและการพิจารณาจำหน่าย

ข้อ 13. ผู้ชนะการประกวดราคา ต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ค่าอากร และภาษีต่างๆ (ไม่รวมภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ขาย)

การประชาสัมพันธ์ – การยื่นซองประกวดราคา

1. มีหนังสือแจ้งกลุ่มที่แสดงความสนใจซื้อจากครั้งก่อน (การประมูลทาง Internet) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย บจ.ไทยวัฒน์วิศวการทาง / บจ.นวเจษฎาขนส่งและก่อสร้าง / บจ.นิวเวฟ พร็อพเพอร์ตี้ / บจ.เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้

2. มีหนังสือแจ้งกลุ่มที่ลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลครั้งก่อน (แต่ไม่ได้เสนอราคา) ประกอบด้วย บจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ / บจ.แสนสิริ / บจ.ทองหล่อ เรสซิเดนท์

3. มีหนังสือแจ้งกลุ่มที่แสดงความสนใจครั้งใหม่ ประกอบด้วย บจ.MBK ดีเวลลอปเมนท์ / บจ.พี.เอส.เอส.ออแกนิค (ประเทศไทย) / บจ.กฤษณา ดีวิลอปเม้นท์ / บมจ.ศุภาลัย / บจ.นภาพรทิพย์

4. ประชาสัมพันธ์ ผ่าน Website ธปท./ Website กองทุน

* * * * *

ครั้งที่ 2 มีผู้ยื่นซองเพื่อเข้าร่วมยื่นซองประกวดราคา จำนวน 4 รายคือ

1. บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
2. นายสมบูรณ์ คุปติมนัส (ตัวแทนคุณหญิงพจมาน ชินวัตร)
3. บมจ.โนเบิล ดิวลลอปเม้นท์
4. บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้

แต่มีผู้ยื่นซองประกวดราคาจริง จำนวน 3 รายคือ

1. บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เสนอราคา 730 ล้านบาท
2. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เสนอราคา 772 ล้านบาท
3. บมจ.โนเบิล ดิวลลอปเม้นท์ เสนอราคา 750 ล้านบาท

หมายเหตุ: บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศของกองทุน คณะกรรมการรับซองจึงตัดสิทธิ์ไม่รับซองเสนอราคา

คณะกรรมการจัดการกองทุนอนุมัติให้จำหน่ายที่ดินให้แก่ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุด คือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในราคา 772 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยตารางวาละ 58,137.35 บาท



By: เห็ดหอม ที่ดินนี้ เดิมเป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง กองทุนฟื้นฟู ยึดมาจากบริษัทสินทรัพย์ที่ล้มช่วงปี 2540

พ.ศ.2546 คุณหญิงซื้อได้ 772 ล้าน ... บอกว่ากองทุนขาดทุนยับเยิน

ไปยึดคืนมา ... ต้องจ่ายเงินไปประมาณ 1,300 ล้านบาทเพื่อเอาที่ดินคืน

พ.ศ.2554 ขายได้ 1,815 ล้าน ... บอกว่าขายได้กำไรคงน่าเกลียดน่าดู...

ข้อสังเกต: พ.ศ.2546 ขายให้คุณหญิง เป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง // พ.ศ.2554 ขายให้ศุภาลัย แก้กฎหมายให้สร้างอาคารสูงได้

ถามจริงๆเหอะครับ ถ้าไม่แก้กฎหมายเอื้อประโยชน์แก่ กลุ่มนายทุน ให้สร้างอาคารสูงบริเวณตรงนั้นได้ ... จะขายได้มั้ยครับในราคาเกือบ 2 พันล้าน ????

พ.ศ.2546 กับ พ.ศ.2554 ค่าของเงินมันต่างกัน ... ตอนนั้นราคาทองบาทละ 6-7พัน แต่ตอนนี้บาทละ 2หมื่น5

มองมุมไหนก็ขาดทุน แถมยังเสียค่าโง่เพิ่มไปอีก ... ประเทศชาติไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เสียทั้งคนทำงานดีๆ เสียทั้งเงิน เสียทั้งโอกาสความก้าวหน้าของประเทศ แถมโดนหลอก ...


@ โหย!!! มันทั้งโหด..ทั้งใจร้าย..ทั้งใจดำ..เลยนะเพ่...





ล้วงลึกบทสนทนาลับ พ่อห้าม "ทักษิณ" อย่าเล่นการเมือง
ที่มา: น.ส.พ.มติชน ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553

สมชาย วงศ์สวัสดิ์(เขยตระกูลชินวัตร) ออกตัว-ออกปากยอมรับว่าเป็นคนใกล้ชิด "ผู้นำพเนจร" นาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

โดย "รู้จัก-รู้ไส้" กันดีตั้งแต่สมัย "บิ๊กแม้ว" ทำ "ดอกเตอร์" สาขาอาชญาวิทยา ที่มหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตท ประเทศสหรัฐก่อนกลับมารับราชการตำรวจ และได้ติดยศ "พ.ต.ท." ในที่สุด

กระทั่งปี 2523 พ.ต.ท.ทักษิณหันไปทำธุรกิจควบคู่การรับราชการ เคยหยิบจับธุรกิจหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าไหม ผู้อำนวยการการสร้างภาพยนตร์ นักค้าคอนโดมิเนียม ฯลฯ ซึ่ง "สมชาย" เผยว่า "พี่เขย" เคยปรารภกับคนในครอบครัวหลายครั้งว่าอยากลาออกจากราชการ เพราะถ้าธุรกิจมีปัญหาขาดทุน อาจพาลเดือดร้อน "คนในบ้าน"

"ผมเป็นคนหนึ่งที่คัดค้านไม่ให้ท่านลาออกคล้ายๆ ว่าเราเป็นข้าราชการ ก็คิดว่าเออ! รับราชการก็ดีอยู่แล้ว ท่านจบดอกเตอร์ทางอาชญาวิทยา และได้เป็น พ.ต.ท.ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ อย่างไรก็ตามเป็นนายพล ผมคิดแค่นั้นน่ะ แต่ท่านคิดไม่เหมือนผม ท่านบอกว่าถ้าเป็นนายพลแล้วอยู่จนๆ ไปวันๆ ก็ไม่รู้จะเป็นไปทำไมการทำธุรกิจน่าจะเป็นโอกาสที่ดี"

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นทางธุรกิจของ "อดีตนายพันตำรวจ" ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เขาต้องวิ่งแลกเช็ค วิ่งขึ้นศาล และทำอีกหลายอย่างเพื่อความอยู่รอดของเงินในกระเป๋า

"สุดท้ายด้วยความมานะพยายาม ความสามารถและความฉลาดของท่าน ก็ทำให้ท่านประสบผลสำเร็จ มีเงินมีทอง จนใครๆ ก็รู้ว่าทักษิณรวย นี่คือข้อเท็จจริงว่าทักษิณ รวยก่อนที่จะมาทำงานการเมือง" นายสมชายกล่าว

ต่อมาในปี 2537 พ.ต.ท.ทักษิณได้ตัดสินใจเบนเข็มชีวิตอีกครั้ง คราวนี้เป็นการกระโจนเข้าสู่ถนนสายการเมือง และได้รั้งเก้าอี้ รวม.ต่างประเทศในรัฐบาล ชวน หลีกภัย ในอีก 1 ปีให้หลัง

แม้ขณะนั้นกฎหมายจะไม่บังคับให้แสดงบัญชีทรัพย์สิน แต่ "คนการเมืองหน้าใหม่" ตัดสินใจลอกคราบตัวเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์สุดโปร่งใส

"แม้ไม่มีกฎหมายให้ดีแคลร์(แสดง)ทรัพย์สิน แต่ท่านต้องการบอกว่าก่อนเข้าการเมืองมีเงินเท่านี้นะ ตอนนั้นท่านดีแคลร์ไป 4.5 หมื่นล้านบาท จากนั้นเมื่อเกิดปัญหาจนต้องออกจากพรรคพลังธรรม ท่านมีความคิดว่าน่าจะช่วยบ้านเมืองได้ เพราะสตางค์ก็มีแล้วไม่เดือดร้อน ก็เลยคิดตั้งพรรคไทยรักไทยเพื่อเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัว"

ทว่าพลันที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" รุดไปแจ้งแนวคิดลงทุนทำ "พรรคการเมืองใหม่" ให้เลิศ ชินวัตร บิดา รับทราบ ก็ถูกต่อต้านทันควัน

"พ่อท่านทักษิณไม่สนับสนุนให้ไปทำอย่างนั้น โดยบอกว่า "เฮ้ย!! ษิณแกก็รวยแล้ว ตังค์ก็มีครอบครัวก็อบอุ่นดี ไปทำอะไรก็ได้ แกเล่นการเมืองไม่ทันเขาหรอก เดี๋ยวโดนเขาหลอกเพราะแกเป็นคนซื่อ" นี่คือคำพูดของพ่อ

แต่ท่านทักษิณตอบกลับไปว่า "ไอ้ที่ผมรวย ที่ผมพยายามทำมาหากินมาทั้งชีวิตก็เพื่อให้มีเงินมีทองไว้ให้ครอบครัวและตัวเองได้ใช้ ก่อนจะอุทิศตัวเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อการเมืองโดยที่ครอบครัวไม่ต้องเดือดร้อนกับการเข้าไปทำงานการเมืองของผม ไม่ต้องถูกครหานินทาว่าไปโกง"

นั่นคือน้ำคำ "อดีตเจ้าของบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น" ที่ประสงค์จะผันตัวไปเป็น "เจ้าของพรรคไทยรักไทย" แบบเต็มรูป

สมชายบอกว่า "บทสนทนาประวัติศาสตร์" นี้เกิดขึ้นที่ปลายเตียงของ "เลิศ" ในขณะเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพในปี 2541 โดยมีลูก-หลานตระกูล "ชินวัตร" รวมถึง "น้องเขยต่างสายเลือด" ร่วมเป็นสักขีพยาน

"พอพ่อท่านไม่อนุญาต ก็คงทำไม่ได้เพราะขัดต่อความรู้สึกของผู้ใหญ่ท่านทักษิณนี้ซึมเลย พวกผมต่างหากที่ไปช่วยพูดกับพ่อว่าเห็นใจพี่เขาเถอะ เขาตั้งใจจริงๆ ว่าจะทำงานการเมือง พยายามหาเงินหาทอง เพราะไม่ต้องการมาแบบมือเปล่าแล้วกลับไปมีตังค์ท่านต้องการหาเงินหาทองให้ได้ก่อน ให้รวยก่อนถึงลงเล่นการเมือง"

"พวกเราช่วยกันบอกพ่อว่าปล่อยเขาไปเถอะ เขาตั้งใจทำมาหากิน ได้มาขนาดนี้ คงไม่มีใครหรอก ตอนนั้นรวยหลายหมื่นล้านบาทนะ เป็นคนไทยนะ ในเมื่อรวยถึงขนาดนี้ก็ปล่อยเขาเหอะ ในที่สุดพ่อก็ใจอ่อนยอมให้ทำพรรค แต่ก็ยังมิวายบอกว่าพ่อไม่เห็นด้วยนะ" เขยตระกูลชินวัตรกล่าว

เป็นความหวังที่ไม่มีใครรู้ว่าการ "โอนหุ้น" ซึ่งถูกบังคับโดยกฎหมายเพื่อกระโจนเข้าสู่ปลักโคลนการเมืองของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในวันนั้น จะทำให้ "หัวหน้าครอบครัว" ต้องพเนจรอยู่ในต่างแดน ณ วันนี้!!!

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มาตรา 309 มีดีอะไร ทำไมต้องปกป้องห้ามแตะห้ามแก้ไข?????



มาตรา 309 มีดีอะไร ทำไมต้องปกป้องห้ามแตะห้ามแก้ไข?????
By: คนการเมือง

หลัง 19 กันยายน 2549 สิ่งแรกที่ คปค. ประกาศคือ ให้ยกเลิก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ฉบับประชาชนเสีย

แล้วใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ซึ่งมาตราที่สำคัญอย่างยิ่งคือ มาตรา 36 และ มาตรา 37

ในสถานการณ์ปัจจุบันขอยกแค่ มาตรา 37 มาให้เปรียบเทียบ

"มาตรา 37 บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึด และควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ของหัวหน้า และคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวหรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น

การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง"

By: วิถีชน prachatalk.com 17พ.ย.2554

อ่านกี่ครั้งกี่ครั้งผมก็อดสำลักความอยุติธรรมไม่ได้ เสมือนใครสักคนอัดกรวดทรายยัดลงลำคอทุกที

จริงๆแล้ว มาตรา 309 นี้ เปรียบดั่งคำสารภาพผิดดีๆนี่เอง

ไหนอ้างว่าต้องทำเพื่อแก้ไขบ้านเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อทำความดีแล้วจะผิดได้อย่างไร

แล้วใยจึ่งออกกฎหมายอภัยโทษให้ตนเอง?????

@ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

เขาเอามายัดไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เรียบร้อยแล้วครับ ไม่ใช่แค่ประกาศ คปค.อย่างเดียว โดยยกเอา ฉบับชั่วคราว มารับรองถาวรจนถึงวันนี้

มาตรา 309 บรรดาการใดๆที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
มีชัย ฤชุพันธุ์

By: nongyai 2 pantip.com 24ธ.ค.2555

มาตรา 309 มีบทบัญญัติว่า.. บรรดาการใดๆที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

พูดให้เข้าใจกันง่ายๆคือ อะไรที่คณะรัฐประหารทำเอาไว้ สั่งการเอาไว้ทั้งก่อนและหลังการใช้รัฐธรรมนูญ ถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด

ประชาชนจึงต้องตั้งคำถามกับพวกที่คัดค้านเหล่านี้ว่าหากใฝ่ประชาธิปไตยแล้วปกป้องผลพวงจากการทำรัฐประหารทำไม?

หรือเพียงเพราะเห็นว่าผลพวงจากการกระทำของคณะรัฐประหารนั้นสร้างคุณประโยชน์ทางการเมืองให้กับพวกตัวเองโดยที่ไม่สนใจเรื่องอื่น

ปากบอกว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่ปกป้องการกระทำของคณะรัฐประหารสุดชีวิต ช่างเป็นตลกร้ายสิ้นดี

คงเหมือนที่เขาพูดกันในโลกไซเบอร์ว่า ประเทศนี้:-)แปลก แก้รัฐธรรมนูญด้วยรถถัง ง่ายกว่าแก้รัฐธรรมนูญด้วยประชาชนเสมอ

ก็เห็นจะจริง เพราะตอนที่ทหารเอารถถังออกมาฉีกรัฐธรรมนูญไม่เห็นหัวคนพวกนี้ออกมาต่อต้านสักคน

ถึงขนาดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันคว่ำการทำประชามติ เพื่อปกป้อง รธน.2550

By: ตระกองขวัญ pantip.com 24ธ.ค.2555

ในอดีต ปี 2534 ที่คณะ รสช.รัฐประหารรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย

หลังรัฐประหารได้มีการตั้ง คตส. ตรวจสอบทรัพย์สิน ครม.ชาติชาย หากหาที่ไปที่มาไม่ได้ก็ยึด

แต่หลังจาก รสช.หมดอำนาจไป กลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย

คนที่ถูกยึดทรัพย์ก็ร้องต่อศาลเพื่อขอให้การยึดทรัพย์นั้นโมฆะเพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ปรากฎว่า ศาลพิพากษาให้การยึดทรัพย์เป็นโมฆะทั้งหมด

จากบทเรียนและประสบการณ์นี้

พอมาถึง คปค. คมช. ก็มีตั้ง คตส. มีการยึดทรัพย์ทักษิณ

มาตรา 309 จึงนอกจากมีผลให้ คมช.ทำอะไรก็ไม่ผิดแล้ว (ความจริงมีการนิรโทษกรรมไปใน รธน.ชั่วคราว 2549 แล้ว) คตส.ก็ไม่ผิดตั้งแต่ยุค คมช. จบยุค คมช. จน คตส.หมดวาระไปก็ไม่ผิด

คือไม่มีอะไรจะมาลบล้างผลการกระทำของ คตส. ได้เลย ไม่ว่า คตส. จะชอบธรรมหรือไม่ก็ตาม

ฉะนั้น ทักษิณจึงไม่มีทางที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมในทางปกติได้เลย

พวกนี้จึงปกป้องมาตรา 309 สุดฤทธิ์ เพราะกลัวทักษิณพ้นผิด ได้เงินคืน

ทั้งที่ความจริงแล้ว หากยกเลิก 309 ทักษิณก็ต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ตามปกติ

ตอนนั้นหากผิดก็ต้องผิด ยอมรับ เถียงไม่ได้ หากไม่ผิดก็คืนความชอบธรรมให้

พวกนี้รู้ดีครับ ว่าทั้งเรื่องที่ดินรัชดา ยึดทรัพย์ และคดีอื่นๆ ที่ค้างอยู่ตอนนี้ หากเข้าสู่กระบวนการปกติ ทักษิณรอดสบาย จึงต้องป้องกันมาตรา 309 สุดชีวิต

@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!

หลังจากปฏิวัติ ปี 2549 คปค. ได้แต่งตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาหลายองค์กรตามมาและอยู่โยงจนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้น คือ คตส. และ ปปช.

หมายความว่า ทั้ง คตส. และ ปปช. และองค์กรที่ คปค. แต่งตั้งทั้งหมด จะว่าอะไรยังไงก็ถูกต้องหมด ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำหรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นหากมีการใส่ร้าย สร้างหลักฐานเท็จ ก็ทำได้สบายๆ เพราะกฏหมายสูงสุดสั่งไม่ให้เอาผิดเขาได้

ที่นี้ก็รู้แล้วนะครับว่าทำไมอดีตนายกทักษินถึงไม่กล้ากลับมาสู้คดีความต่างๆ ตราบที่ รธน. นี้ยังอยู่

หรือพูดอีกที มาตรา 309 ใช้กันคุณทักษินกลับมาสู้คดีไงล่ะครับ

ดูกันชัดๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไม่เบื่อรึไง เอามาคลั่งชาติกันอีกแย้ว คดีพระวิหาร จะล้ม รบ.ปู ให้ได้


ชมได้สดๆนับตั้งแต่ตอนนี้ กับรายการพิเศษ ศาลโลกตัดสินคดีพระวิหาร ดำเนินรายการโดย ม.ล.ณัฏฐกรร์ เทวกุล และ พรรณิการ์ วานิช @ คลิกชมที่นี่...


สรุปสาระหลังศาลโลกพิพากษาตัดสิน : ศาลมีอำนาจพิจารณาตีความ แต่เนื้อหาสำคัญคือทางกัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรตามร้องขอ โดยศาลได้ตัดสินเรื่องเขตแดนในพื้นที่ที่เล็กมาก ยันไทยไม่เสียพื้นที่บริเวณภูมะเขือ และที่สำคัญศาลไม่ได้ระบุว่าแผนที่ 1:200000 เป็นส่วนหนึ่งของคำตัดสินในปี พ.ศ. 2505 เป็นข้อผูกพัน สุดท้ายศาลได้แนะนำให้ทั้งฝ่ายไทย และกัมพูชา ร่วมมือกันดูแลปราสาทพระวิหาร เนื่องจากเป็นมรดกโลก


คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
By: คนการเมือง

คดีพระวิหาร ... ศาลโลกตัดสินตั้งแต่ปี 2505 ไม่รู้ว่าคุณๆที่ออกมาเย้วๆนี่เกิดแล้วหรือยัง ตอนนั้นผมเรียนชั้นมัธยมยังถูกเกณฑ์ไปเดินขบวนประท้วงด้วย แต่ที่แน่ๆผมบริจาคไป 1 บาท เพื่อให้คนของพรรคประชาวิบัติเป็นทนายไปสู้คดีที่ศาลโลก แต่สู้แพ้ และไม่ได้อุทธรณ์ตามระยะเวลาที่กำหนด(ภายใน 10 ปี)จนหมดเวลา จอมพลสฤษดิ์นายกฯสมัยนั้นที่ว่าแน่ๆยังยอมรับคำตัดสินสั่งถอนทหารถอยออกมาเลย

*** นอกจากจะถูกเกณฑ์ไปเดินขบวนแล้ว นร.ต้องบริจาคคนละ 1 บาทด้วย ตอนนั้นผมได้ค่าขนมวันละ 75 สตางค์ ต้องอดขนมถึง 2 วันได้เงิน 1 บาทไปบริจาคกับเขา อยากรู้ว่าสมัยนั้น 75 สตางค์มีค่าแค่ไหน ตามไปที่นี่ครับ ***

มาถึงวันนี้ผ่านมากี่ รบ.โดยเฉพาะนายกฯที่เป็นของพรรคประชาวิบัติมัวทำอะไรอยู่ เสือกออกมาทำกั๋งเอาตอนนี้ และทำไมต้องปิดบังความจริงกันว่า.. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทำหนังสือไปถึง เขมร-ฝรั่งเศส ขอไปชมพระวิหาร จนกัมพูชาใช้เป็นเอกสารอ้างกับศาลโลก แต่ที่ช้ำใจตอนสู้คดีฝ่ายเราเองดันไปเซ็นรับรองแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นแล้วเอาไปยื่นศาลโลกซ้ำเติมเข้าไปอีกดอก ...

ต่อมาหลังทุกอย่างกลับสู่ความสงบ คนไทยไปเที่ยวพระวิหารต้องทำหนังสือผ่านแดน ตม.ไทยไปตั้งโต๊ะอำนวยความสะดวกออกใบผ่านแดนให้ มันเป็นการยอมรับในดินแดนอยู่แล้วว่านั่นคือดินแดนของกัมพูชา มาถึงตอนนี้จะยุให้รบกันอีกรึ??? ผมว่า สู้เจรจาเอาผลประโยชน์ร่วมกันดีกว่ายิงกันนะครับ

พวกคุณๆทั้งหลายจะแถกันไปถึงไหน???ให้ประเทศชาติchipหาย คนไทย-กัมพูชาตรงนั้นเค้าเป็นเขย-สะใภ้กัน ทำมาหากินกันอย่างสงบดีๆอยู่แล้ว

เฮ้ออออออออออออออ...................

หากเราต้องเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชาไปคราวนี้ ต้นตอก็คือพรรคประชาธิปัตย์!...
By: ปลายอ้อกอแขม เว็บประชาทอล์ค 10พ.ย.56

ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า ณ บัดนี้(10พย.56) ก่อนวันตัดสินของศาลโลก กรณีคดีเขาพระวิหาร นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ กำลังคิดหา "ชุดคำพูด"แก้ต่างให้กับตัวเอง และขณะเดียวกันก็กำลังคิดหา "ชุดคำพูด"ใส่ร้าย เพื่อโยนกลับให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นฝ่ายผิดเสียเอง หากศาลโลกตัดสินเป็น "ผลลบ"กับไทยในวันที่ 11พ.ย.56 นี้ จากนั้นก็จะพามวลชนขับไล่รัฐบาล..ผมเชื่ออย่างนั้น!

แต่หากศาลโลกตัดสินให้เป็น "ผลบวก"กับไทย ก็เชื่ออีกเช่นกันว่า คนทั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียม "ชุดคำพูด"หรูๆเอาไว้ เพื่อยกยอปอปั้นตัวเอง เก่งกล้า สามารถ ฉลาดล้ำเหนือมนุษย์ จนชาวบ้านที่ฟังอยู่อาจอ้วกแตกเป็นลมคาม็อบ จากนั้นก็ชวนมวลชนขับไล่รัฐบาล..เหมือนเดิม

ผมยังเชื่อโดยสุจริตใจอีกว่า 2คนนี้ คือนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพนั้น สามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้เสมอโดยไม่มีอาการเคอะเขินแม้แต่น้อย เพราะทั้ง 2 คนนี้ ได้บรรลุแล้วซึ่งความ"ไร้ยางอาย"ทุกอย่าง และเข้าถึงแล้วซึ่ง"ความหน้าด้าน"ทุกชนิด อย่างที่ไม่เคยมีใครๆเคยได้สัมผัส..เลวแบบไร้สารตะกั่ว!

เขาพระวิหาร ถูกศาลโลกตัดสินให้เป็นของกัมพูชาไปแล้วเมื่อปี 2505 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยสมัยนั้นรัฐบาลแต่งตั้งให้ มรว.เสนีย์ ปราโมทย์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นทนายแก้ต่างฝ่ายไทย เพราะถือว่าเป็นนักกฎหมายที่เก่งที่สุดในขณะนั้น สุดท้ายก็เสียท่าแพ้คดีหลุดลุ่ย เสียเขาพระวิหาร..เพราะพรรคประชาธิปัตย์

ในปี 2543 มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมต.ช่วยต่างประเทศ สมัยนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามใน MOU43 กับกัมพูชา ยอมรับพื้นที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นเหตุทำให้ไทยเสียดินแดนในทางนิตินัยอย่างสมบูรณ์แบบ แม้โดยพฤตินัยไทยจะยังครอบครองอยู่ก็ตาม แต่ต่อมา เขมรก็ค่อยๆลำเลียงชาวบ้านรุกเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตของ MOU43 รอบๆเขาพระวิหาร (พท.4.6ตร.กม.) โดยที่รัฐบาลนายชวน ก็ไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด จึงเป็นเหตุให้ไทยเสียดินแดนไปโดยปริยายอีก..เพราะพรรคประชาธิปัตย์

ในปี 2550 สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนโดยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เขมรจะเอาเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกพร้อมพื้นที่รอบๆ แต่นายนภดล ปัทมะ รมต.ต่างประเทศ ได้เจรจาขอให้เขมรนำไปขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบนั้นถือว่ายังเป็นพื้นที่ทับซ้อน จึงตกลงจะทำเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นข้อตกลงเรียกว่า "แถลงการณ์ร่วม(JOINT COMMUNIQUE)" ซึ่งถือว่าเขมรตกหลุมพรางไทย เพราะยอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็น "พื้นที่ทับซ้อน"อยู่ ทำให้ MOU43 ที่นายชวนลงนามไว้มีน้ำหนักน้อยลง เพราะขณะนั้นเขมรไม่เอามาเป็นข้ออ้าง..เป็นคุณกับฝ่ายไทย

ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินว่า แถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ปัมทะ ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพราะไม่ผ่านสภาฯ จึงถือเป็นโมฆะ มีผลทำให้นายนภดลพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีไป ฝ่ายกัมพูชาจึงกลับมายึดถือเอา MOU43 ของนายชวนเป็นหลัก..เหมือนเดิม

ในปี 2551 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องการจะ "เช็คบิล" พรรคพลังประชาชนและอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และพยายามจะสร้างกระแสชาตินิยมให้กับตนเอง จนเกิดข้อพิพาทครั้งใหม่ มีการยั่วยุ มีคนไทยถูกจับ และมีการปะทะระหว่างทหารตามแนวชายแดน..อุตลุด

นี่เอง จึงเป็นเหตุให้กัมพูชานำคดีเมื่อ 50 ปีที่แล้วขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้ง เพื่อให้ตีความ "พื้นที่รอบเขาพระวิหาร" ให้ชัดเจนว่าควรจะเป็นของใคร และในวันแถลงต่อศาลโลกนั้น กัมพูชาได้กล่าวต่อศาลว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์คือต้นเหตุที่ทำให้กัมพูชาต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลโลก ในคำบรรยายแถลงศาล กัมพูชาอ้างถึง MOU43 พื้นที่ 1:200,000 ที่เคยลงนามร่วมกับรัฐบาลนายชวน หลีกภัยเป็นหลัก..นี่คือข้อเท็จจริง

เริ่มต้นเมื่อกัมพูชานำคดีขึ้นสู่ศาลโลกใหม่ๆ มีกระแสให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก แต่นายอภิสิทธิ์ก็ได้แต่งตั้งทนายไปยื่นคำให้การต่อศาล ก็เท่ากับว่ายอมรับอำนาจศาลไปอีก ส่วนอีกทางหนึ่ง ก็ทำเป็นส่งคนไปกดดันคณะกรรมการภาคีมรดกโลก จะให้ถอนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารออก แต่เมื่อไม่สำเร็จ ถึงขนาดนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนการเจรจามรดกโลกฝ่ายไทย ประกาศกร้าวด้วยการยื่นจดหมายถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถอนจริง..แค่คำโกหก

เมื่อต่อมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแห่งพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เดินตามแนวที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้วางไว้ทุกประการ แม้ทีมทนายที่นายอภิสิทธิ์แต่งตั้งไว้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ต่างกันที่ความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชาเป็นไปฉันท์มิตร ไม่มีการสู้รบ ปราสาทเขาพระวิหารก็เปิดให้คนขึ้นไปชมได้ตามปกติ ชาวบ้านตามแนวชายแดนก็อยู่กันอย่างสุขสงบ..รอคำพิพากษา

ศาลโลกนัดตัดสินในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 โดยสามัญสำนึกธรรมดาๆ หลายๆฝ่ายเชื่อกันว่า 90% ศาลโลกจะตัดสินมีผลเป็น"ลบ"กับฝ่ายไทย เพราะ MOU43 ที่กัมพูชาถือไว้เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งสัมพันธภาพที่ดีของศาลโลกกับฝ่ายกัมพูชา รวมทั้งเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมต่างๆที่ปรากฏทางกายภาพ..ไทยไม่น่าจะรอด!

หากโชคดี ศาลโลกอาจเห็นว่าจะเกิดความขัดแย้งถึงขั้นมีสงครามระหว่างประเทศ ศาลอาจบอกว่า ไม่รับตีความ เพราะไม่มีอำนาจ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม และให้ไทยกับกัมพูชาไปตกลงกันเอง จะเอาอย่างไร แล้วค่อยมาบอกศาล อย่างนี้ถือว่าเจ๊ากันไป ..ไทยรอดตัว!

แต่หากโชคร้ายขีดสุด ถ้าไทยต้องเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชาในครั้งนี้ไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ก็ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า "พรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละ คือต้นตอแห่งการเสียดินแดนของไทยในปี 2556" โดยนายชวน หลีกภัย เป็นคนเปิดประตู MOU43 ให้กัมพูชาก่อน ส่วนนายอภิสิทธิ์ เป็นคนจูงมือกัมพูชาเข้ามาในบ้าน

โปรดดูหน้าจำหน้ากันไว้ให้ชัดๆ ทั้ง 2 คนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้ง 2 คนนี้ยังเป็นนักการเมืองอยู่.. และทั้ง 2 คนนี้ก็อยู่พรรคประชาธิปัตย์!!!

คำถาม : ประเทศไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ 1:200,000 มาก่อน ทำไมรัฐบาลถึงยอมให้กัมพูชาเอามาอ้างได้

คำตอบ : หม่อมสุขุมพันธุ์ รมต.ช่วยต่างประเทศ สมัย รบ.ชวน แกไปเซ็น MOU43 รับรองไว้

"(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส"




แผนที่ "แผ่นดงแร็ก" ๑ ในแผนที่ ๑๑ ฉบับแสดงเส้นพรมแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน ทำขึ้นโดยฝรั่งเศสเมื่อปี ๒๔๕๐ ตามแผนที่ฉบับนี้ เส้นพรมแดนบริเวณเขาพระวิหารไม่เป็นไปตามสันปันน้ำซึ่งต่อมากลายเป็นระเบิดเวลาที่ถูกวางไว้ในสายสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

หลังกรณีพิพาทดินแดนอินโดจีนสงบลงด้วยการที่สยามกับฝรั่งเศสทำสนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ และ ๑๙๐๗ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จเยือนเขาพระวิหารเมื่อปี ๒๔๗๒ ในภาพคณะของพระองค์ขณะลงจากปราสาทพระวิหารที่ตีนบันได้มีพลับพลาชั่วคราวและเสาธงชาติฝรั่งเศสตั้งอยู่ (ภาพ : หอสมุดดำรงราชานุภาพ)

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสนทนากับข้าหลวงฝรั่งเศสบนยอดผาเป้ยตาดี (ภาพ : หอสมุดดำรงราชานุภาพ)

คดีปราสาทเขาพระวิหาร พ.ศ.2505

คดีนี้มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า ในช่วงปี พ.ศ.2447 ถึง พ.ศ.2451 ประเทศฝรั่งเศสมีฐานะเป็นรัฐผู้อารักขากัมพูชา ได้ทำสัญญากับประเทศไทยอยู่หลายฉบับ แต่มีสัญญาอยู่ฉบับหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ คือ สัญญาซึ่งลงในวันที่ 13 กรกฎาคม ปี พ.ศ.2447 มีความตกลงอยู่ว่า พรมแดนที่เป็นปัญหาให้ถือเอาสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขตแดน และให้แต่งตั้งคณะกรรมการปักบันเขตแดน เพื่อได้ทำการสำรวจบริเวณพื้นที่แถบนั้น

ต่อมาในปี พ.ศ.2450 ทางการไทยได้ขอให้ทางฝรั่งเศสทำแผนที่พรมแดน ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสลากเส้นเอาเขาพระวิหาร ซึ่งอยู่ในความครอบครองของประเทศไทย ไปอยู่ในฝั่งเขตแดนกัมพูชาของทางฝรั่งเศสด้วย โดยมิได้ยึดแนวสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ (แผนที่นี้ต่อมาเรียกว่า "แผนที่ผนวก 1" (Annex I map))

แม้กระนั้น ทางไทยกลับไม่ได้คัดค้านแผนที่นั้นภายในเวลาอันสมควร คณะกรรมการฝ่ายไทยไม่ได้ดำเนินการใดๆเลย แม้จะไม่ได้แสดงการยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ทำการคัดค้านว่าแผนที่ฉบับที่มีปัญหานั้นไม่ถูกต้อง ท่านเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นคือ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ตรัสขอบใจราชทูตฝรั่งเศสผู้นำส่งแผนที่นั้น และผู้ว่าราชการจังหวัดก็มิได้ทำการทักท้วง

ต่อมา มีการประชุมคณะกรรมการที่กรุงเทพ ฯ ในปี พ.ศ.2452 โดยใช้แผนที่ผนวก 1 นี้เป็นหลัก ก็ไม่มีผู้คัดค้าน (กรมแผนที่เองได้ทำแผนที่ ใน พ.ศ.2480 ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาพระวิหารตั้งอยู่ในเขตกัมพูชา)

ปี พ.ศ.2468 มีการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างไทย-ฝรั่งเศส โดยมีการอ้างอิงถึงเขตแดนดังกล่าว และในการเจรจาสนธิสัญญาระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อปี พ.ศ.2490 รัฐบาลไทยไม่ได้ประท้วงประเด็นดังกล่าว

นอกจากนี้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรีในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2472 ที่เสด็จตรวจโบราณวัตถุสถานมณฑลนครราชสีมา (ลาวกลาง) ได้เสด็จไปยังเขาพระวิหารด้วย และก็ได้ทรงแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ข้าราชการอาณานิคมของฝรั่งเศส ซึ่งผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสรับเสด็จในฐานะทรงเยือนจังหวัดหนึ่งของกัมพูชาก็ได้มาถวายการต้อนรับอย่างเป็นทางการ มีการประดับธงทิวฝรั่งเศสเหนือปราสาทนั้น และก็ได้กลายเป็นหลักฐานอย่างดี ที่เขมรจะนำมาใช้ในการต่อสู้คดีกับไทยในปี 2505 ว่าสยามยอมรับว่า เขาพระวิหารขึ้นอยู่กับอธิปไตยของอีกฟากหนึ่งของพรมแดน

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ ทำให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาว่า รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ยอมรับ (acquiese) ว่า ฝรั่งเศส มีอำนาจอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นเวลายาวนานถึง 50 ปีมาแล้ว ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าด้วยหลักกฎหมายปิดปาก (estoppel)

ปี พ.ศ.2501 หลังจากที่กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส จึงเริ่มมีข้อขัดแย้งเรื่องเขตแดนรอยต่อระหว่างไทยกับกัมพูชา จนกระทั่ง เจ้านโรดมสีหนุ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขณะนั้น นำเรื่องขึ้นเสนอสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ.2502 โดยใช้แผนที่ผนวก 1 เป็นหลักฐานสำคัญ ซึ่งแม้เส้นเขตแดนบนแผนที่จะไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเกณฑ์ แต่แผนที่ฉบับนี้ไม่เคยถูกคัดค้านจากรัฐบาลไทยมาก่อน

ดังนั้นในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จึงได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 นอกจากนั้นยังตัดสินด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ให้ประเทศไทยส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกมาจากปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่ปี พ.ศ.2497 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยได้เข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าว

การสูญเสียดินแดนครั้งนี้นับว่าเป็นการสูญเสียดินแดนครั้งล่าสุดของราชอาณาจักรไทย หลังจากที่สูญเสียดินแดนจำนวนมากในสมัยรัชกาลที่ 5


"นพดล"เตือน ปชป.ทำคดีพระวิหารเสียรูปคดี
http://www.matichon.co.th/news

เมื่อวันที่ 14 ม.ค.2556 ที่พรรคเพื่อไทย(พท.) นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า กรณีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ระบุว่า กัมพูชาใช้แผน 5 ขั้นเพื่อฮุบที่ดินเขาพระวิหารและพัฒนาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งนายชวนนท์เคยเข้าไปทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ ต้องรู้ว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก อุปมาอุปไมย เรื่องนี้ตนขอความเป็นธรรม เรื่องนี้มีศาลพระภูมิและสนามหญ้า ศาลพระภูมิเป็นของกัมพูชา แต่สนามหญ้าเป็นของไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิทั้งศาลพระภูมิและสนามหญ้าไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้เจรจากับกัมพูชาสำเร็จ จนกัมพูชายอมรับเป็นครั้งแรกว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ทับซ้อน จึงเกิดคำแถลงการณ์ร่วม ตนขอเรียกร้องไปยัง ปชป.โปรดระวังการกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม เพราะคดีความในศาลโลกยังไม่มีการตัดสิน อาจส่งผลเสียต่อรูปคดีได้ ทั้งนี้ หาก ปชป.มีข้อมูลที่คิดว่าเป็นประโยชน์ ก็ควรมอบให้รัฐบาล เพื่อช่วยกันสู้คดีในศาลโลก

นายนพดลกล่าวว่า เรื่องปราสาทพระวิหารมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ปชป. 6 ข้อที่คนไทยควรรู้ดังนี้

1. ปี 2505 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้า ปชป. เป็นหนึ่งในทีมทนาย ที่ว่าความในคดีที่ศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เมื่อ 50 ปี ที่แล้ว

2. ปี 2553 กัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำตัดสินเมื่อปี 2505 ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

3. ปี 2543 ปชป.จัดทำเอ็มโอยู 43 ใช้แผนที่ระวาง 1:200,000 เพื่อปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ทั้งที่ศาลโลกใช้แผนที่มาตราส่วนดังกล่าวตัดสินให้ไทยแพ้คดีและต้องยกปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก เมื่อ 50 ปีก่อน

4. ปี 2551 ปชป.เป็นพรรคแรกที่แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและด่าผู้นำของประเทศอื่นว่าเป็นกุ๊ย ซึ่งผิดธรรมเนียมทางการทูตอย่างรุนแรง

5. ปี 2553 นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีต ส.ส.กทม.ปชป. ก่อเรื่องรุกล้ำดินแดนกัมพูชา จนทำให้มีคนไทยถูกจับกุมไปขังคุกในเขมร และสร้างความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

6. ปี 2556 พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่เสนอให้ประเทศไทยถอนตัวจากภาคีสมาชิกมรดกโลก ที่จะทำให้ไทยออกจากโลกอารยะ



ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การแถลงด้วยวาจาของฝ่ายกัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหาร ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2556 ว่า จุดอ่อนของไทย และจุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา และ (ศาสตราจารย์ฌอง มาร์ก ซอเรล) ทนายความชาวฝรั่งเศส ผู้เป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยปารีส รุกหนัก ในการแถลงต่อศาล คือ เรื่อง แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งประเด็นนี้ มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้ผู้พิพากษาในปี 2505 ตัดสินให้กัมพูชาชนะ 9 ต่อ 3 เสียง

ดร.ชาญวิทย์ กล่าวว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน นี้ จัดทำขึ้นโดยการสำรวจร่วมกัน ระหว่าง สยามกับฝรั่งเศส โดยตัวแทนฝ่ายสยามคือ เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สะท้าน สนิทวงศ์) เป็นตัวแทนประชุมทุกครั้ง ฉะนั้น แม้จะเป็นแผนที่ ที่พิมพ์โดยฝรั่งเศส แต่ชนชั้นนำสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 รับรู้ โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ (พระบิดาแห่งการทูตไทย) รับแผนที่มาใช้ 50 ชุด กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับไปใช้และขอเพิ่ม 15 ชุด นี่คือหลักฐาน ที่ นายถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ทนายความ ไม่เคยบอกประชาชนชาวไทย และทำให้เข้าใจผิดมาจนทุกวันนี้

ดังนั้น ประชาชนชาวไทยไม่ทราบว่า กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการฯ และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทำอะไร แม้แต่คนในยุคปัจจุบัน ก็ยังไม่ทราบ ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อึดอัด รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ก็ ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะอาจจะถูกกล่าวหาว่า "ขายชาติ" หรือ "หนักแผ่นดิน" เนื่องจาก นี่คือ จุดอ่อนของไทย และ จุดแข็งของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายกัมพูชา ตอกย้ำเรื่องนี้เยอะมาก

ดร.ชาญวิทย์ มองว่า ตราบใดที่รัฐบาล ฝ่ายค้าน ทหาร นักการเมือง นักวิชาการ และ สื่อมวลชน ไม่พูดเรื่องนี้ ประชาชน ก็จะถูกหลอก ว่าหลักฐานที่กัมพูชากล่าวถึง เป็นแผนที่ของฝรั่งเศส ขณะที่ความจริง คือ เป็นแผนที่ที่สำรวจร่วมกันระหว่างสยามและฝรั่งเศส

ตอนนี้สังคมไทยจึงมีสภาพที่ "ผู้นำสยาม" ยอมรับแผนที่ แต่ "ผู้นำไทย" ไม่ยอมรับแผนที่ ซึ่งฝ่ายไทยจะแถลงอย่างไรยังคงเป็นเรื่อง ต้องจับตาดู

*หมายเหตุ โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : อนึ่ง ลัทธิชาตินิยมของประเทศเรานั้น ควรแยกแยะให้เห็นชัดเจน คือ สมัยก่อน 2475 นั้น เป็นเรื่องของสมัย "สยาม" และ "ราชาชาตินิยม" เป็นเวอร์ชั่นของรัชกาลที่ 5-6-7 กับสมเด็จกรมฯ เทววงศ์ และ กรมฯ ดำรงฯ สมัย "ราชาธิปไตย" ที่ต้องต่อสู้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษา "เอกราช" ต้องยอม "สละ/เสียดินแดน" ให้ฝรั่งเศส ที่มีอำนาจมากกว่า แข็งแรงกว่า

ส่วนสมัยต่อมา กลายเป็น (เปลี่ยนนามประเทศ) เป็น "ไทย" จึงมีลัทธิชาตินิยมใหม่ กลายเป็น "อำมาตยาชาตินิยม" เป็นเวอร์ชั่นของ "เสนาอำมาตย์" เช่น พิบูลสงคราม/วิจิตรวาทการ/ธนิต ที่ต้องการ "ขยาย/ได้ดินแดน" ซึ่งลัทธินี้ถูกสืบทอดโดย สฤษด์/ถนอม/ถนัด รวมทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่างเสนีย์/คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือผู้นำ ปชป อย่างควง อภัยวงศ์ จนถึง อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ในปัจจุบันนี้ กลุ่มนี้ต่อสู้กับเขมรกัมพูชา ซึ่งมีอำนาจน้อยกว่า และอ่อนแอกว่า


วันนี้ (22 เม.ย.56) ที่กระทรวงการต่างประเทศ คณะทำงานต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หัวหน้าคณะทำงาน และทีมทนายความชาวต่างชาติ ซึ่งประกอบด้วย ศาสตราจารย์ โดนัลด์ เอ็ม แม็คเรย์ ศาสตราจารย์ เจมส์ ควอร์ฟฟอร์ด ศาสตราจารย์อแลงต์ แปลเล่ต์ และนางสาวอลินา มิรอง ร่วมแถลงข่าวถึงถ้อยแถลงต่อศาลโลกเรื่องปราสาทพระวิหาร โดยนายวีรชัย กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่มีทีมงานทั้งฝ่ายกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายความมั่นคง และคณะรัฐบาล ให้การสนับสนุน รวมไปถึงนักวิชาการและสื่อมวลชนที่แสดงข้อคิดเห็นต่างๆ

นายวีรชัย กล่าวถึง วิธีการทำงานของคณะฯ ว่า ให้ทุกคนเขียนถ้อยแถลงของตนเอง และให้เวียนกันแก้ไขถ้อยแถลง จากนั้นจึงส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายความมั่นคง และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบและแก้ไข

นอกจากนี้ นายวีรชัย ยังกล่าวยืนยันด้วยว่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระองค์ทรงเป็นนักโบราณคดีอย่างแท้จริง และการในต่อสู้ครั้งนี้ตนได้ชี้แจงให้สาธารณชนทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยหลังจากนายวีรชัยได้กล่าวแถลงการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วได้เปิดให้สื่อมวลซักถามเกี่ยวกับรายละเอียดในการต่อสู้คดีครั้งนี้ แต่ทั้งนี้เมื่อสื่อมวลชน ถามถึงผลการตัดสินของศาลโลก นายวีรชัยกล่าวว่า ไม่อยากแสดงความเห็นเพราะเป็นการทำงานของศาลโลก แต่ยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชายังคงเป็นไปในแนวทางบวก

เมื่อถามว่า ทำไมจึงฉุกใจว่ามีการปลอมแปลงแผนที่ นายวีรชัย กล่าวว่า ไม่ต้องฉุกใจอะไร เพราะเปิดหลักฐานมาก็เห็นชัดๆ ว่าฝ่ายกัมพูชาปลอมแปลงแผนที่

ส่วนกระแสที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า แถลงการณ์ร่วมสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก หรือ เอ็มโอยู ปี 2551 ที่ทำในสมัยนพดล ปัทมะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งทางฝั่งกัมพูชายกมาเป็นหลักฐานซึ่งส่งผลเสียและเป็นการขายชาตินั้น นายวีรชัย กล่าวว่า ฝั่งกัมพูชาได้ยกเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อสู้ในศาลโลก ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงในถ้อยแถลงกลับไปแล้วว่า แถลงการณ์ร่วมของคุณนพดลที่ให้กัมพูชาทะเบียนปราสาทพระวิหารให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท เป็นไปตามเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2505 ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรแต่อย่างใด

จากนั้น ผู้สื่อข่าว ได้สอบถาม นางสาวเอลินา มิรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่หนึ่งในทีมกฎหมาย ว่าหาหลักฐานเรื่องแผนที่ได้อย่างไร ซึ่งนางสาวมิรอง กล่าวว่า เบื้องต้นได้ปรึกษากับคุณวีรชัย และใช้แผนที่ซึ่งศาลทำไว้ และหาหลักฐานจากแหล่งอื่น เช่น จากหอจดหมายของกรมสนธิสัญญา เพื่อเปรียบเทียบข้อแตกต่างกัน

และเมื่อถามนางสาวมิรอง ต่อไปว่า ทำไมถึงเลือกเธอมาทำงานนี้ นางสาวมิรอง กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า คงเป็นเพราะไม่มีคนอื่นมาทำงานนี้แล้ว ซึ่งนายวีรชัย กล่าวเสริมว่า ที่เลือกนางสาวมิรองมาทำงานนี้เพราะเห็นว่าเธอมีความพร้อม

ส่วนบทบาทของทีมทนายต่อจากนี้ นายวีรชัย กล่าวว่าจะทำการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนไทยให้พร้อมรับคำตัดสินของศาลโลกได้ทันทีเมื่อคำตัดสินออกมา ส่วนที่ศาลให้ส่งการตีความคำว่า "พื้นที่บริเวณปราสาท" ของฝ่ายไทยนั้น ยังไม่ขอให้ข้อมูลตอนนี้เพราะจะมีผลกับรูปคดี

เมื่อการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศได้มอบดอกไม้แสดงความขอบคุณให้กับคณะทีมกฎหมายของไทย



คลิกที่นี่...
@ ถ่ายทอดสดจากกรุงเฮก ตามตารางเวลา & @ ดูย้อนหลัง..ถ่ายทอดจากกรุงเฮก

ต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 45, 46, 47, 48, 49,


เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 45, 46, 47, 48, 49,
By: Thaksin Shinawatra

...ผมตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องเป็น 2 แบบ แบบที่หนึ่งจะเรียกชื่อว่า Me and My Country ซึ่งจะเน้นเรื่องเทคนิคและเบื้องหลังในการเจรจา รวมทั้งวิธีคิดของผมในแต่ละเรื่องที่บางคนไม่เข้าใจอาจจะนำไปใช้ผิดๆได้ Me and My Country (1) คลิกที่นี่ครับ
อีกแบบที่จะเขียนผมขอเรียกว่า Turn My Exile to Learning Period เพื่อจะเล่าเรื่องราวที่ได้พบเห็นและได้เรียนรู้อะไรจากที่ได้พบเห็น เพื่อจะได้เล่าให้ท่านผู้ติดตามผมได้เรียนรู้โลกไปกับผมด้วย...



45, 11 ตุลาคม 2556

Turn My Exile to Learning Period (1)

หัวข้อนี้ผมอยากจะบอกว่าการที่ผมต้องมาลี้ภัยอยู่ต่างประเทศนั้นผมก็ไม่ยอมให้เสียเวลาโดยสูญเปล่า นั่งเศร้าสร้อยเครียดอยู่คงไม่เกิดประโยชน์อะไร เหมือนที่ตอนผมบวชพระสวดมนต์ตอนเย็น ก็จะมีตอนหนึ่งบอกว่า วันคืนล่วงไป ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ผมก็เลยต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการใช้เวลาเรียนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่างใกล้ชิด เข้าถึงให้มากที่สุด ผมได้เห็นโลกในทุกมิติ ทั้งโลกมืด โลกมัวๆ และโลกสว่างไสว แล้วก็หันมามองเมืองไทยเพื่อจะทำทุกอย่างให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย เพราะถึงแม้ว่าผมจะไปอยู่มุมไหนของโลก ก็คิดตลอดเวลาว่าผมเป็นคนไทยที่รักประเทศไทย

แน่นอนครับ ผมอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้กับครอบครัว ไม่ได้มีโอกาสให้ความอบอุ่นครอบครัวอย่างใกล้ชิด ไม่ได้ฝึกฝนลูกๆอย่างใกล้ชิด ผมก็ต้องปรับตัว เป็นการให้ความอบอุ่น ให้ความรู้ ประสบการณ์จากที่ห่างไกล แต่ครอบครัวผมก็เข้มแข็งกันทุกคน ก็อยากจะบอกกับ ผู้ที่รักและปรารถนาดีกับผมและครอบครัวว่า เราอดทน และจะใช้โอกาสนี้สร้างเครือข่ายเพื่อนๆ ทั้งระดับเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนด้านวิชาการ ให้ได้มากที่สุด และก็จะทยอยแลกเปลี่ยนกับคนไทยผ่าน Facebook ของผมไปเรื่อยๆเท่าที่จะมีเวลาครับ

วันที่ 15 ตุลาคมนี้ ผมก็จะไปพูดเรื่อง One Asia ซึ่งตอนนี้ก็มีการพูดถึง One Asia มากขึ้นเพราะ Asia เป็น Economic Growth Area ของโลกอยู่ในขณะนี้ เพราะ Asia เป็นทวีปเดียวที่ไม่มี Continent Wide Forum เพราะเรามีความขัดแย้งอยู่เป็นที่ๆ เช่น เกาหลีเหนือ/เกาหลีใต้ อินเดีย/ปากีสถาน ปาเลสไตน์/อิสราเอล นอกจากนั้นยังมีปัญหาในอีกหลายประเทศ อีกทั้งเรายังเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรมากที่สุด มีคนยากจนมากที่สุด มีคนรวยรวมแล้วก็มากที่สุด ความพยายามที่จะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวของทวีปเอเชียเป็นเรื่องที่ทำมานานมาก ซึ่งผมก็เคยได้ริเริ่ม ACD (Asia Cooperation Dialoque) ตอนที่ผมยังเป็นนายกฯแล้ว แต่ก็ยังมีสมาชิกไม่ครบทั้งทวีป แต่ก็เป็นประเทศสำคัญๆทั้งนั้น

วันนี้อยากเล่าเรื่องจีนให้ฟังครับ ว่าวันนี้จีนได้พัฒนาไปมากและเร็วกว่าที่ทุกคนจะคิด ที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ ในการก้าวเดินตลอดเวลา มีการใช้ระบบที่เรียกว่า Division of Labor มาประยุกต์เข้ากับกาลสมัย เขามีโครงสร้างของพรรค คู่ขนานกับโครงสร้างชองการบริหาร โดยให้โครงสร้างของพรรคทำหน้าที่กำหนดและควบคุมนโยบายและยุทธศาสตร์

ส่วนโครงสร้างของฝ่ายบริหารมีหน้าที่ปฏิบัติและใกล้ชิดกับการบริการประชาชน โดยทั้งสองฝ่ายทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดมีวินัย โดยแบ่งเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ชั้นหมู่บ้าน ขึ้นไปถึงชั้นอำเภอ จังหวัด และมณฑล แม้กระทั่งกระทรวงก็ยังมีเลขาพรรคประจำทุกกระทรวง ที่พูดมานี้อาจจะใช้ไม่ได้สำหรับบ้านเรา แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า การทำงานให้สำเร็จต้องทำอย่างมียุทธศาสตร์ มีการกำกับนโยบายให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ และมีการติดตาม ประเมินผลงานตลอดเวลา

นอกจากนั้นจะต้องมีการมองภาพใหญ่ ลงมาจนถึงภาพเล็กๆ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือการสั่งการครั้งหนึ่งจากจุดสูงสุดจะลงไปถึงทุกจุดอย่างรวดเร็ว อีกอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจประเทศใหญ่ๆอย่างจีนและอเมริกาก็คือเวลาผมไปพบระดับบริหารท่านหนึ่ง พูดอะไรไว้ ก็จะมีการส่งบทสนทนาไปยังผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เช่นผมพูดกับรัฐมนตรีว่าอย่างไร พอไปพบระดับนายกฯเขาจะทราบเรื่องและต่อเรื่องได้ทันที ทำให้การเจรจาความระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพครับ

มาจีนคราวนี้ได้รับเชิญให้ไปพบระดับสูงมาหลายครั้ง เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ไทย-จีน และอาเซียน-จีนครับ


46, 12 ตุลาคม 2556

Turn My Exile to Learning Period (2)

วันนี้ขอเล่าเรื่องที่ผมโง่มานานและก็ได้บทเรียนมาเล่าให้ท่านฟังครับ เมื่อวันก่อนมีคนหนุ่มมีความรอบรู้ดีมาพบผม มาคุยเรื่องไฟฟ้าพลังลม ผมก็พูดออกไปด้วยความมั่นใจบนพื้นฐานของความรู้สึกว่า บ้านเราลมไม่แรงทำไฟฟ้าพลังลมคงลำบาก เขาก็บอกว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล ลมไม่ต้องแรงมากก็สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ผมก็เลยบอกว่ายังงั้นคงต้องไปทำแถวริมทะเลเพราะลมจะแรงหน่อย ผมเชื่อว่าคนทั่วไปก็จะคิดแบบผม รู้ไหมเขาบอกผมว่าอย่างไร

เขาบอกว่าที่ไปทำกันริมทะเลเจ๊งกันเป็นแถวเพราะเป็นลมผิวล่างไม่ใช่ลมบน ลมมันอ่อนมากไม่พอผลิตกระแสไฟฟ้า ผมไปเอาแผนที่ลมของ NASA (องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา) มาศึกษาดู ปรากฎว่าเมืองไทยมีลมระดับสูงที่พอผลิตกระแสไฟฟ้าได้แถวๆโคราช ประกอบกับที่ดินที่จะเข้าไปปักเสาก็ไม่ใช่ป่าสงวน ทางเหนือก็พอมีลม แต่เป็นภูเขาผ่านป่าสงวน ปัญหาเยอะ

ท่านครับ ผมถึงบางอ้อทันที มันบอกให้ผมรู้ว่าทุกอย่างอย่าใช้ความรู้สึก ต้องใช้วิทยาศาสตร์และคำตอบทางวิทยาศาสตร์มีอยู่เต็มไปหมด หาได้ง่ายมากในโลกยุคใหม่

พอเขาพูดถึงแผนที่ NASA ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของแร่ธาตุและทรัพยากรทั้งหลาย NASA ก็มีแผนที่ที่เขาถ่ายจากอวกาศมาทั้งโลก เขารู้หมดว่ามีอะไรอยู่ที่ไหนมากน้อยแค่ไหน อเมริกา รัสเซียจะเป็น 2 ประเทศที่รู้เรื่องนี้มาก ถึงได้มีการเดินหมากรุกการเมืองโลกเพื่อครอบครองทรัพยากร ท่านรู้ไหมครับว่าที่อัฟกานิสถานที่รัสเซียเคยเข้าไปและตอนนี้สหรัฐเข้าไปเป็นประเทศที่มีทองคำ ทองแดง ก๊าซธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มากครับ อิรักมีน้ำมันมาก อิหร่านมีน้ำมันมาก ประเทศ DR Congo (Democratic Republic of the Congo) ที่แอฟริกามีแร่ธาตุในดินที่มีมูลค่ามากกว่า GDP ประเทศอเมริกาและยุโรปรวมกัน สรุปให้เห็นว่าการเมืองระหว่างประเทศถูกผูกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเดินหมากรุกทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจ เราจึงต้องรู้ลึกรู้เหตุผลของการเดินเกมของแต่ละฝ่าย เราจึงจะไม่ตกไปอยู่ตรงกลางของการปะทะกันครับ

ที่ผมพูดมานี้อยากจะบอกว่า ถ้าเราไม่รู้จริงต้องตอบว่าไม่รู้และไม่ต้องอาย ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ไม่รู้ว่าเราจะมีตำแหน่งฐานะหรือภูมิหลังเป็นอะไรมา ไม่เช่นนั่นเราจะโง่ไปนาน คนเราทุกคนต้องเคยโง่มาก่อนและต้องอย่าให้โง่นาน และต้องเรียนรู้และยอมหลุดจากความโง่ความไม่รู้จริง โลกนี้เป็นโลกของ Lifelong Learning คือการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งอาจเกิดจากการอ่านหนังสือ การฟังสารคดีต่างๆ การไปพูดคุยกับคนมากๆ การไปดูนิทรรศการต่างๆ เรียนผิดเรียนถูกกับชีวิต หรือเรียนจากการเข้าอบรมสัมมนา จะเป็นการเรียนเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ทั้งนั้น

โลกมีความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกนาที เราหยุดที่จะเปิดเครื่องรับทางปัญญาเมื่อไหร่เราก็ตามโลกไม่ทันเมื่อนั้น เมื่อเด็กจบปริญญา เรามักจะใช้คำว่าจบการศึกษา ห้ามไปแปลว่าเลิกศึกษานะครับ ยังต้องศึกษานอกห้องเรียนต่อไป คือห้องเรียนชีวิตนั่นเอง ฝรั่งเขาใช้คำว่า commencement day แปลว่า วันเริ่มต้น

ผมอยากจะฝากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่าต้องให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้พูด ได้แสดงความคิดเห็น ได้แสดงความรู้ของเขา เพราะปริมาณข้อมูลและความรู้ที่เข้าในหัวเด็กปัจจุบันยุคดิจิตอลมีมากกว่าสมัยเราเยอะ อย่าไป take authority พูดเพื่อปิดความคิดของเด็กๆ และมั่นใจว่าตัวเองเก่งสุด รู้สุด ใช่ครับหลายคนเก่งและรู้ แต่ไม่มีใครเก่งทุกเรื่องและรู้ทุกเรื่อง แบ่งกันเก่งแบ่งกันรู้ดีที่สุดครับ ประเทศไทยตอนนี้เราต้องการความสามัคคี ความรักชาติ แต่เราไม่อยากได้อีกด้านหนึ่งคือความอิจฉา ความหลงตัว และความคลั่งชาติครับ ต้องเดินสายกลางตามพระพุทธเจ้า มัชฌิมาปฏิปทาครับ


47, 17 ตุลาคม 2556

Me and My Country (2)

วันนี้ผมออกเดินทางด่วนจากไปกล่าวสุนทรพจน์และร่วมถกการทำให้ประเทศในเอเชียสู่ความเป็น One Asia ก็เลยอยากจะเล่าเบื้องหลังการจัดตั้ง ACD ( Asia Cooperation Dialogue) ในปี 2545 ให้ท่านฟังครับ

ผมเห็นว่าทวีปเอเชียเป็นทวีปเดียวที่ไม่มี Forum ที่มีสมาชิกรวมกันทุกประเทศที่อยู่ในเอเชียซึ่งไม่เหมือนกันทวีปอื่นที่มี Forum ที่ประกอบด้วยสมาชิกทุกประเทศในทวีปนั้น ทั้งๆที่เราเป็นทวีปที่มีประชากรรวมกันเกินครึ่งหนึ่งของประชากรโลก มีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศรวมกันก็เกินครึ่งหนึ่งของทั้งโลก เป็นทวีปที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ ศาสนาทุกศาสนาก็มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชียแทบทั้งนั้น และสิ่งมหัศจรรย์ของโลกส่วนใหญ่ก็อยู่ในเอเชีย

แม้กระนั้นเราก็ยังมีคนจนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ UN ถือเป็นความยากจนมากกว่าทุกทวีป เพราะเรามีปัญหาขัดแย้งระหว่างประเทศในหลายภูมิภาค ทำไมเราไม่วางความขัดแย้งไว้ก่อน หันมาพูดคุยกันให้เกิดการร่วมกันพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ด้วยกัน ซึ่งผู้นำต้องคิดไปไกลกว่าเขตแดนประเทศตัวเอง One Asia จึงจะเกิดได้

ผมเลยเริ่มต้นคุยกับประเทศใหญ่สุดคือจีน พอจีนเริ่มให้ความสนใจผมก็คุยกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็สนใจ ผมจึงรีบมาคุยกับอาเซียน อาเซียนให้การสนับสนุนเต็มที่ ผมรออยู่พักใหญ่จีนกับญี่ปุ่นยังไม่ตัดสินใจเต็มที่ ผมก็เลยไปอินเดีย นายกรัฐมนตรี อตล เพหารี วัชปายี ในขณะนั้นก็ตกลงทันที ผมก็รีบมาประชุม Bo'ao Forum ที่ไหหลำ แล้วมาพบกับนายกฯ จู หรงจี ของจีน นายกฯโคะอิซุมิของญี่ปุ่นก็นั่งอยู่ด้วยกัน ผมบอกไปเลยว่า อาเซียนและอินเดียตกลงใจแล้ว นายกฯจู หรงจี และนายกฯโคะอิซุมิก็บอกผมพร้อมกันเดี๋ยวนั้นว่าจีนและญี่ปุ่นตกลง แค่นี้ผมก็ได้ประเทศหลักๆแล้ว ต่อมาเกาหลีก็ตกลง จีนบอกผมเพราะรู้ว่าอินเดียเข้ามาแล้วก็ให้เชิญปากีสถานด้วย ผมก็เลยไปเชิญซึ่งเขาก็ตอบรับทันที ต่อมาจึงขยายมาชวนประเทศที่มีนายกฯเป็นเพื่อนกันแถวเอเชียกลางและเอเชียตะวันตก เช่น บาห์เรน การ์ตา และทาจิกิสถาน ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เรามีความริเริ่มและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ

พอมาตอนที่มีการรัฐประหาร ทางคณะรัฐประหารก็คงอยากจะทำลายสิ่งดีๆที่ผมทำไว้ก็จะไปขอยกเลิก ACD เลยโดนตอกหงายมาจากประเทศสมาชิกว่า ACD ถึงแม้ไทยจะเป็นผู้ริเริ่มแต่ไทยไม่ได้เป็นเจ้าของ มันเป็นองค์กรของทุกประเทศสมาชิก ผมพยายามจะปลุกให้เกิดความเป็นหนึ่งของเอเชียให้ได้จึงต้องหาเสียงเพิ่มสมาชิกไปเรื่อยๆจนปัจจุบันมีอยู่ 28 ประเทศแล้ว ผมเชื่อว่าในอนาคตคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กระทรวงต่างประเทศของเราต้องทำงานต่อเนื่องจริงจังต่อไปครับ

ผมขอเล่าเบื้องหลังขำๆให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือตอนที่ผมไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ ผมได้รับการบอกจากทูตไทยประจำกรุงนิวเดลี บอกว่าถ้าผมเข้าไปคุยกับท่านนายกฯวัชปายีแล้วแปลกใจ ท่านจะไม่พูดอะไรซัก 10 นาทีนอกจากสั่นหัวแบบคนอินเดีย เพราะเป็นลักษณะของท่าน ขอให้ผมพูดต่อไปเรื่อยๆเดี๋ยวท่านก็จะพูดขึ้นมาเอง ผมบอกว่าผมทนไม่ได้หรอก แค่ 2-3 นาทีไม่พูดตอบ ผมก็ไม่ยอมแน่ ท่านทูตก็เลยตกใจ ผมบอกว่าผมมีวิธีของผมสิน่า!

พอวันไปพบกันจริงท่านก็เป็นเช่นนั้น ผมพูดอะไรท่านก็สั่นหัวแบบอินเดีย ซักหนึ่งนาทียังไม่พูด ผมก็เลยบอกว่า Your Excellency, Let me ask you something ท่านก็เลยพูดว่า What? ผมก็เลยบอกว่า At this age why haven't you been married? ซึ่งตอนนั้นท่านประมาณ 70 ปี ท่านก็หัวเราะและตอบว่า I had been in opposition side for more than 40 years. Sometimes I'd been jailed. Nobody wants to marry me. เท่านั้นก็เสร็จผม ผม Break the ice ได้ ท่านก็เลยเริ่มพูดกับผมเลยกลายเป็นคนที่สนิทกันเป็นพิเศษ จนท่านมาเยือนเมืองไทยแล้วขอไปเชียงใหม่บ้านเกิดผมด้วย

ที่เล่าให้ฟังก็เพียงอยากบอกว่าเวลามีตำแหน่งสูงๆ ทุกคนถูกบังคับด้วย Protocol ทำให้ Stiff จึงทำให้ความเป็นมนุษย์ (Human) มันลดน้อยลงแต่จริงๆแล้วทุกคนคือมนุษย์ ถ้าเราสามารถจับความเป็นมนุษย์และสร้างความสัมพันธ์แบบ Human to Human ได้ เราจะมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ผมมักจะได้ผู้นำที่เป็นคนที่เงียบๆพูดน้อยวางตัวขรึมเป็นเพื่อนสนิทจนถึงทุกวันนี้

ทั้งๆที่ผมพ้นจากความเป็นนายกฯมาตั้ง 7 ปีแล้วครับ

เครดิตรูป : alternatehistory.com

48, 27 ตุลาคม 2556

Turn My Exile to Learning Period (3)

หายไปหลายวันครับ

เพราะหลังจากกลับจากเกาหลีก็ไปแวะสิงคโปร์ ขณะที่อยู่สิงคโปร์ก็มีเพื่อนที่เป็นเจ้าของท่าเรือที่ใหญ่มากของมาเลเซียเป็นคู่แข่งโดยตรงกับท่าเรือสิงคโปร์ มาเชิญผมไปเยี่ยมดูกิจการของเขาเพื่อขอคำแนะนำในการขยายกิจการ เขาได้รับสัมปทานที่ดินผืนใหญ่ติดทะเลจากรัฐบาล ดร.มหาเธร์ เมื่อปี 1994 และมาเจอวิกฤติเศรษฐกิจปี 1997 พร้อมเรา (2540) ต่อมาโชคดี ได้บริษัท MAERSK ที่เป็นบริษัทเดินเรือใหญ่อันดับหนึ่งของโลกเข้ามาถือหุ้น เขาจึงแย่งลูกค้าจากสิงคโปร์ได้มาก

ปัจจุบันมีปริมาณสินค้าขึ้นลงอยู่ที่ 8 ล้าน TEU (หน่วยนับสินค้าที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ความยาว 20 ฟุต) มากกว่าท่าเรือไทย 2 เท่า แต่ก็ยังน้อยกว่าสิงคโปร์ ปรากฎว่าส่วนใหญ่เป็นสินค้าผ่านไม่ได้ เป็นสินค้าที่ลง ณ ประเทศมาเลเซียอย่างเดียว ที่สิงคโปร์ก็เช่นกัน ผมหันไปมองฝั่งสิงคโปร์เรือเข้าคิวยาวเป็นวันๆ แต่ฝั่งมาเลเซียไม่มีคิวเลย เพราะเป็นท่าเรือที่ใหญ่มาก ปัจจุบันมีอยู่ 12 berths และกำลังจะขยายเป็น 15 berths

ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่า อยากจะบอกว่าเขากล้ามากที่กล้าชนกับสิงคโปร์ที่ผูกขาดการขนส่งทางทะเลมานาน แต่ที่กล้าเพราะรัฐบาลมาเลเซียแบ็คเขาเต็มที่ และสถานที่ทำท่าเรือตอนนี้ก็ตรงกับตำราที่ว่า ทำเล ทำเล ทำเล (Location Location and Location นั่นเองครับ) นอกจากการเป็นท่าเรือแล้ว เขายังเป็น Free Zone ที่มีการมาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์บ้าง สินค้าหนักบ้าง แล้วส่งไปขายยังประเทศอื่น รวมทั้งเขาอยากให้ทำปิโตรเคมี ที่เก็บน้ำมันและโรงกลั่นแข่งกับสิงคโปร์เต็มที่ ความกล้าของเขาทำให้ลีกวนยูเคยนำเรื่องเขาไปพูดในสภาว่า ท่าเรือสิงคโปร์ต้องไม่แพ้ไอ้เด็กลูกชาวนาภาคเหนือของมาเลเซียคนนี้

ผมไปเสร็จ ผมถึงบางอ้อเลยว่าทำไมความพยายามสร้างคอคอดกระหรือแม้กระทั่งไม่ขุดเป็นคลองแต่ทำเป็นเหมือนสะพานบกเชื่อม 2 ฝัง (Land Bridge) ตะวันตก(อันดามัน) มาตะวันออก(อ่าวไทย) จึงไม่เกิดซักที เพราะถ้าเกิด ท่าเรือทั้งสิงคโปร์และมาเลเซียแห้งตายทั้งคู่ เพราะสินค้าที่เป็นสินค้าผ่าน (Transhipment) จะไม่ไปทางใต้แน่ รวมทั้งน้ำมันเพราะประหยัดการเดินทางอย่างน้อย 8 วัน มันบอกอะไรให้รู้อย่างหนึ่งว่าประเทศไทยของเราอยู่มาอย่างไม่ค่อยจะมียุทธศาสตร์ เราแก้ปัญหาวันต่อวัน เราไม่ค่อยคิดอะไรเป็น Long Term เพราะการเมืองเราไม่พัฒนา มีการทะเลาะเบาะแว้ง รัฐบาลจะอยู่สั้น ก็เลยไม่มีข้าราชการ องค์กรรัฐ เอกชนก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรที่เป็น Long Term อย่างมียุทธศาสตร์ สงสัยคงต้องมีหลักสูตรหมากรุกสากลในโรงเรียนเสียแล้ว เพราะจะสอนให้เด็กได้คิดวิธีเดินแบบมียุทธศาสตร์ มีสมาธิ และรู้เขา รู้เรา

วันนี้เรารู้เรายังน้อย แต่รู้โลกรู้ภูมิภาคยิ่งน้อยไปอีก เราอยู่ในโลกของการแข่งขัน ถึงแม้เราจะบอกว่าเราไม่แข่งกับใคร เขาก็บอกว่าโลกมันเชื่อมโยงกันหมดแล้ว คน สินค้า เงินทอง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ มันไม่หยุดนิ่ง มันเดินทางไปได้ทั่วโลก คุณไม่แข่งผมก็จะแข่งกับคุณ นี่คือความจริงของโลกปัจจุบันครับ

ผมขอให้ระดับประเทศ ระดับองค์กรในประเทศน้อยใหญ่ ทั้งรัฐและเอกชนต้องอยู่อย่างมียุทธศาสตร์ จึงจะเอาตัวรอดในโลกใหม่ครับ ขอให้โชคดีเป็นของคนไทยและประเทศไทยครับ


49, 28 ตุลาคม 2556

Me and My Country (3)

ผมมาอยู่ญี่ปุ่น 3 วัน มาเห็นเศรษฐกิจญี่ปุ่นคึกคักขึ้นเยอะ สอบถามผู้คนถึงความพึงพอใจ ก็พบว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าดีขึ้น พอใจ

ก็เลยทำให้นึกถึงตอนที่ผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมจับทฤษฎีโลกทุนนิยมว่าเศรษฐกิจเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง จิตวิทยาที่ว่าจะต้องให้เกิดบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่น ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust & Confident)

พอท่านนายกฯ Abe เข้ามา ท่านปรับค่าเงินเยนที่แข็งเกินกว่าเศรษฐกิจที่แท้จริง ถ้าเป็นภาษาของอาชญวิทยา เราเรียกกันว่า Shock Therapy คือการรักษาบำบัดโดยวิธีที่รุนแรง พอดีผมมีโอกาสได้คุยกับท่านนายกฯ Abe ด้วยตัวเอง ก็เลยถามท่าน ท่านตอบดีมาก

ท่านเลี่ยงคำว่าลดค่าเงินซึ่งเป็นการที่อาจถูกต่อว่าจากประเทศคู่ค้าได้ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ลดแค่ค่าเงิน ท่านใช้ทฤษฎี Inflation Targeting ด้วยการตั้งค่าอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% เพราะเดิมอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเป็น 0% หรือบางทีก็ติดลบหน่อยๆ ก็เลยทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวอย่างรวดเร็ว เงินถึงจะเฟ้อขึ้นมาระดับ 2% ได้ ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกทฤษฎี ความเชื่อมั่นจึงเกิดกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างแรง รัฐบาลจึงเป็นที่นิยมของประชาชนซึ่งรอความหวังทางเศรษฐกิจมานาน

ตอนที่ผมเข้ามาเป็นนายกฯใหม่ตอนนั้น เศรษฐกิจยังไม่ยอมฟื้นจากวิกฤติ หลังจากที่ผมตรวจสอบสภาพคล่องในสถาบันการเงินทั้งของภาครัฐและเอกชน ผมรู้สภาพปัญหาที่เงินของพ่อค้าส่งออกไม่ยอมส่งกลับเข้าไทย และก็สถาบันการเงินต่างประเทศก็ยังไม่มีความเข้าใจและไว้วางใจเศรษฐกิจไทย ผมเลยประกาศความแข็งแรงทันทีว่า เราจะช่วยตัวเอง เราจะฟื้นเศรษฐกิจตัวเอง โดยการไม่ขอความช่วยเหลือทางการเงินจากใคร และจะไม่กู้เงินต่างประเทศเป็นอันขาด ทำให้วงการเงินต่างๆช๊อค นึกว่าเรายังจะวิ่งกู้อยู่ คนไทยก็มีความมั่นใจขึ้นจึงเริ่มมีการขยับตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ผมเริ่มปฏิบัติการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ทันที โดยเฉพาะกองทุนหมู่บ้านที่ถูกดูแคลนว่าจะเอาตังค์ที่ไหนมาทำ และโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และตามมาด้วยหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) แล้วรีบตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ซื้อหนี้ออกจากธนาคารเพื่อให้ธนาคารเริ่มปล่อยกู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการ Shock Therapy เช่นกัน หุ้นก็เริ่มขึ้น ค่าเงินบาทก็เริ่มแข็งตัวแบบมีเสถียรภาพ เงินที่พ่อค้าส่งออกไม่ยอมเอาเข้ามาก็เข้ามา

พอเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ผมจึงประกาศใช้หนี้ IMF เศรษฐกิจจึงแข็งอย่างต่อเนื่องมาหลายปี

ก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าเศรษฐกิจจะดีได้ต้องสร้างบรรยากาศให้เกิด Trust and Confident ในระบบเศรษฐกิจเราให้ได้ครับ

ไหนๆผมก็ได้คุยกับท่านนายกฯ Abe แล้ว ผมก็เลยสอบถามเรื่องวีซ่าเข้าญี่ปุ่นที่มีการปล่อยข่าวลือว่าจะยกเลิกการไม่ให้วีซ่า กลับมาต้องมีวีซ่าเหมือนเดิมเพราะมีคนไทยเข้าไปแล้วไม่ออกมาหลายคน ซึ่งก่อนผมจะถามท่าน ผมก็เลยขอข้อมูลส่วนของเราก่อนก็พบว่า การอยู่เกินกำหนดมีทั้งสองฝ่าย คือทั้งญี่ปุ่นมาไทยและไทยไปญี่ปุ่น อัตราของการอยู่เกินของไทยไปญี่ปุ่นมีไม่มากกว่าตอนที่ต้องมีวีซ่ามากนัก และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนคนไทยไปญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นถือว่าน้อยมาก ท่าน Abe ก็ตอบผมว่าไม่ได้วิตกและไม่ได้คิดเปลี่ยนนโยบายเรื่องนี้เลย ก็ไม่รู้ใครปล่อยข่าวลือจนคนไทยตกใจมาถามผมจำนวนมาก ผมก็เลยไปถามมาด้วยตนเองมาเล่าให้ฟังว่าไม่ต้องวิตก

คนสิงคโปร์ไปไหนเกือบทั่วโลกไม่ต้องมีวีซ่า ทำไมคนไทยต้องขอวีซ่าอีกตั้งหลายประเทศ ดังนั้นนับวันรัฐบาลก็จะเจรจายกเลิกวีซ่า 2 ฝ่ายกับประเทศหลักๆมากขึ้นเรื่อยๆครับ ปีใหม่ 2014 นี้จีนกับไทยจะยกเลิกวีซ่าต่อกันแล้วครับ

เชิญติดตามตอนต่อไป : เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 50,

@ คลิกที่นี่... เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 50,

เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 40, 41, 42, 43, 44,


เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 40, 41, 42, 43, 44,
By: Thaksin Shinawatra


40, 24 กันยายน 2556

24 กันยายน 2556 อีกไม่กี่วัน ก็สิ้นปีงบประมาณ มีข้าราชการเกษียณอายุกันหลายคน แต่ผมก็พ้นวัยเกษียณมา 4 ปีแล้ว ก็เข้าใจคนเกษียณดีเพราะปัจจุบันการแพทย์และโภชนาการทำให้คนอายุยืนและแข็งแรง บางคนก็อาจจะมีความปรารถนาที่จะได้รับใช้บ้านเมือง รับใช้สังคมต่อในแนวทางต่างๆกันไป

ผมอยากเห็นคนที่มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ได้แบ่งปันเวลาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะวงแคบๆคือลูกหลานตนเอง หรือสอนหนังสือบรรยายในโอกาสต่างๆ หรือเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชนหรือภาครัฐบ้าง ถ้าชอบการเมืองก็มาทำงานให้บ้านเมืองในอีกรูปแบบหนึ่ง และให้เวลาดูแลสุขภาพตัวเองมากๆนะครับ เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดคือ การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีนะครับ

หายไปหลายวัน ก็ขอเล่าเรื่องที่หายไปให้ฟังว่า ผมไปทำอะไรบ้าง เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ได้พบกับท่านผู้บริหารระดับสูงของประเทศอินเดีย เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและเพิ่มความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย และอาเซียน-อินเดียครับ ตอนนี้อินเดียผลิตข้าวได้เกินการบริโภคภายในมากถึง 10 ล้านตันที่จะต้องส่งออก เราเองก็ผลิตข้าวมากขึ้น เวียดนามก็ผลิตได้มากขึ้น จึงทำข้าวล้นตลาด ถ้าขืนแย่งกันขาย ชาวนาทั้ง 3 ประเทศคงลำบาก ก็คงต้องพูดคุยกันว่าขายอย่างไร ที่ราคาข้าวตลาดโลกจะไม่ตกต่ำจนเกินไป นอกจากนั้นทางอินเดียก็ยังอยากเห็นถนนเชื่อมโยงอินเดียมาไทยผ่านพม่า เหมือนกับที่จีนเชื่อมเข้าไทยโดยรถยนต์ผ่านลาว ซึ่งตอนนี้แถวเชียงใหม่ก็จะมีคนจีนขับรถมาเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆครับ

เมื่อวันที่ 22 ที่ผ่านมา ผมก็ได้รับเชิญให้ไปดูการแข่งขันรถ Formula-1 ที่ประเทศสิงคโปร์ ก็ได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ Sultan Bolkiah พระราชาธิบดีแห่งบรูไน เจ้าชาย Andrew แห่งประเทศอังกฤษ และ Aung San Suu Kyi จากเมียนมาร์ ก็ได้มีโอกาสทักทายพูดคุยกัน ถามทุกข์ถามสุขกัน นอกจากนี้ยังได้พบกับรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีของสิงคโปร์ นักธุรกิจรุ่นเก่าที่เคยรู้จักกันของสิงคโปร์ รวมทั้งพลเอก Fidel Ramos อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ครับ

ที่เล่ามายืดยาวก็เพราะอยากตั้งคำถามว่า ไทยควรจะจัดให้มีการแข่งขันรถ Formula-1 หรือไม่ เราจะได้ประโยชน์คุ้มค่าเงินที่ลงทุนหรือไม่ รัฐหรือเอกชน ใครควรทำและรัฐควรสนับสนุนแค่ไหน ประโยชน์ที่ว่าคงจะไม่ใช่เฉพาะรายได้โดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่รวมทั้งภาพพจน์ประเทศ และการท่องเที่ยว เป็นต้น และเราควรจะลงทุนแค่ไหน เพราะที่สิงคโปร์เขาใช้ถนนปกติเป็นที่แข่งขัน โดยการปิดถนนส่วนใหญ่แทนการสร้างทั้งหมด แต่บางแห่งก็สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเช่นที่ The Marina Bay Street Circuit เป็นต้น ที่พูดมาเพียงเล่าให้ฟัง ไม่ได้บอกว่าผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนะครับ


41, 1 ตุลาคม 2556

วันนี้เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ของประเทศเรา เมื่อวานนี้ก็เป็นวันสุดท้ายในการรับราชการของผู้เกษียณ และวันนี้ก็เป็นวันเริ่มต้นของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งแทนผู้เกษียณทุกคน ก็ถือเป็นเรื่องปกติทุกปีเพราะก็ต้องมีคนรุ่นใหม่มารับภาระหน้าที่แทนคนรุ่นเก่า

อยากให้คนถือว่าตำแหน่งคือภารกิจหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมาย เมื่อหมดหน้าที่ก็ไม่ต้องยึดติด กลับไปให้เวลากับครอบครัวลูกหลาน และที่สำคัญคือดูแลสุขภาพตัวเองครับ พออายุมากๆสุขภาพจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าสุขภาพดีก็มีแรงทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าสุขภาพไม่ดีก็ทนทุกข์ทรมาน เสียเงินรักษาจำนวนมาก อยู่ก็ไม่มีความสุข ไปไหนมาไหนก็ลำบาก อายุ 60 ก็ยังไม่สายที่จะออกกำลัง รับประทานอาหารที่เหมาะสมทางโภชนาการ และรักษาอารมณ์ปล่อยวางที่ดี ไม่ว้าวุ่นจากการยึดติดใดๆ ก็ขอให้ผู้เกษียณมีความสุข เพื่อจะได้เอาความรู้ประสบการณ์ที่มีมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อไปนานๆ

สำหรับผู้ที่รับตำแหน่งใหม่ก็ขอให้ช่วยกันทุ่มเทให้บ้านเมืองนะครับ เรายังต้องปรับตัวให้ทันโลก ทันภูมิภาคอีกเยอะครับ ถ้าเราไม่เห็นโลกเราก็คิดว่าเราสุดยอดแล้ว แต่ที่ไหนได้ เราต้องปรับปรุงตัวเราอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศักยภาพในการแข่งขัน โครงสร้างพื้นฐาน และการปรับตัวเข้าสู่การเป็น Creative Economy และ Knowledge Based Economy เพราะหลังจากการเปิด AEC ในปี ค.ศ. 2015 และการแข่งขันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) เราจะเผชิญกับความท้าทายอีกหลายด้าน

ผมเพิ่งออกจากฮ่องกง มาเก๊า และกำลังเดินทางไปปักกิ่ง ก็ยังเห็นว่าความเป็นประเทศไทยที่คนไทยมีคุณภาพในการให้บริการสูงจนเป็นที่ติดอกติดใจของผู้มาเยือนทั้งหลายนั้น ก็ยังต้องปรับปรุงตัวเองเพื่อรองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวอีกมาก หรือการให้บริการทางการแพทย์ของเราหลังจากฮิตมาก ก็เริ่มถูกต่อต้านเพราะพาณิชย์มาก จนขาดความเหมาะสมต่อจรรยาบรรณทางการแพทย์แล้ว overchange

เดี๋ยวปีหน้าจีนกับไทยอาจจะบรรลุข้อตกลงในการ ยกเลิก VISA ต่อกัน ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวมากขึ้นอีก สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองจะรองรับไม่ไหว ภูเก็ตเองก็ overload ไปแล้ว คงต้องเร่งขยายอย่างหนักเลยครับ แต่โรงแรมไทยก็แข่งกันลดราคาจนกลายเป็นว่าเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกค่าที่พัก ในโรงแรม 5 ดาวของไทยถูกที่สุด ถูกเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกง มาเก๊า ปักกิ่ง สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งดูไบ

วันก่อนได้คุยกับท่าน ผบ.ตร. ผมก็บอกว่าผมได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่ขายของทั้งหลายในเมืองท่องเที่ยวเช่นพัทยา ภูเก็ต ว่ามีหน่วยงานทั้งหลายในตำรวจและหน่วยงานภายนอกเดินเก็บส่วยกันมากจนเป็น cost ของผู้ประกอบการ และแน่นอนก็จะผ่านไปยังผู้บริโภค ทั้งๆที่รัฐบาลได้จัดการปัญหาเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้ายออกไปอย่างสิ้นเชิง ก็ยังไม่ง่ายเพราะนิสัยที่ชอบเก็บส่วยได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง ขอให้ช่วยกันจัดการด่วน! ท่านก็บอกว่าท่านนายกฯได้สั่งการมาแล้วครับ ผมเลยหวังว่าทุกอย่างก็คงจะดีขึ้นครับ

วันนี้พูดหลายเรื่อง เอาเท่านี้ก่อนครับ ไปอยู่ปักกิ่งแล้วจะมีเวลาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังอีกครับ


42, 4 ตุลาคม 2556

ตอนนี้ผมอยู่ปักกิ่งครับ ช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวของปักกิ่ง เป็นวันฉลองวันชาติของจีนครบ 64 ปี

เมื่อวานอากาศดีมาก ได้มีโอกาสไปเล่น Pro-Am (Professional VS Amateurs) กับนักกอล์ฟชาวเกาหลี-อเมริกัน Michelle Wie ซึ่งเป็นนักกอล์ฟที่ดังมากเมื่อ 5-6 ...ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เล่น off ไปเพราะพัตต์ไม่ค่อยดีก็เลยมาเป็นอันดับที่ 85 ของโลก เธอได้สปอนเซอร์จาก Nike เป็นจำนวนมากพอๆกับ Tiger Wood ในช่วงที่ดังมีค่าตัวสูง แต่ที่สำคัญเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีกับทุกๆคน

วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มแข่งจริง ก็ได้ไปเชียร์ข้างกรีน ไปเจอน้องแหวน พรอนงค์ คนชัยภูมิและมีพี่ชายเป็น Caddy เป็นทีมพี่น้องที่น่ารักมาก บังเอิญมีเพื่อนคนนึงบอกผมว่าดูแล้วเหมือนผมกับนายกฯปูเลย ที่น้องต้องทำหน้าที่ต่อสู้บนเวที มีพี่ชายคอยเป็นกำลังใจ คอยแบกสัมภาระให้และคอยแนะนำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่ผู้เล่นจะต้องตัดสินใจเองเพราะคะแนนดีไม่ดีผู้เล่นจะเป็นผู้กำหนดมากกว่า 80%

ผมฟังแล้วก็รู้สึกขำแต่ก็ภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่ของน้องแหวนที่มีลูกที่รักกันสามัคคีกันช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัววงศ์ตระกูลและประเทศ ผมขอเป็นกำลังใจให้พัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นไปได้เรื่อยๆ รวมทั้งนักกอล์ฟฝีมือดีของไทยอีก 2 คน ที่ร่วมแข่งใน LPGA Classic ที่ Reignwood Beijing ด้วยครับ โดยเฉพาะนักกอล์ฟอนาคตดีแต่บาดเจ็บมาแข่งไม่ได้อีก 1 คู่พี่น้อง คือน้องโมน้องเมย์ ซึ่งขอให้ประสบความสำเร็จนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยนะครับ ผมพร้อมเป็นกำลังใจและสนับสนุนเยาวชนไทยที่เป็นเลิศทางกีฬาทุกประเภทครับ

มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ กีฬาทุกประเภทที่เล่นคนเดียว คนไทยค่อนข้างเด่น เช่น มวย ยกน้ำหนัก เทนนิส กอล์ฟ แบดมินตัน พอเล่นเป็นทีมเรามีปัญหา เราเป็นชาติที่ทีมเวิร์คมีปัญหา ทำงานเป็นทีมไม่ได้ ซึ่งเราต้องมาค้นหาว่าเป็นเพราะอะไร กีฬาเป็นสิ่งที่ดูง่ายที่สุด การทำงานเช่นกัน เรามีปัญหาเรื่องการทำงานเป็นทีม และในเกือบจะทุกองค์กรก็จะเจอปัญหาความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สิ่งที่ผมพอมองเห็นคือ การมีวินัยที่จะเคารพกติกาของการทำงานร่วมกันเรามีปัญหา เราไม่ค่อยให้เกียรติกันเอง จึงเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของทีมเวิร์คไม่เวิร์ค ผู้ที่เป็นผู้นำในการทำทีมเวิร์คต้องมีกระบวนการละลายพฤติกรรม ให้หลอมเป็นหนึ่งเดียวมุ่งมั่นสู่จัดหมายร่วมกันขององค์กรมากกว่าเป้าหมายส่วนตัว วางอีโก้ส่วนตัวและเคารพกติกาการอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันอย่างเคร่งครัดครับ


43, 7 ตุลาคม 2556

วันนี้ยังอยู่ปักกิ่งครับ พรุ่งนี้ต้องพบผู้ใหญ่ที่จีนก็เลยจะอยู่ถึงวันที่ 12 แล้วจึงไปพบผู้ใหญ่ที่เกาหลีและไปพูดให้ World Knowledge Forum ช่วงที่อยู่แข่งขันดูกอล์ฟ LPGA ที่ปักกิ่งก็ได้พูดคุยกับเพื่อนๆที่มาจากเมืองไทย เพื่อนๆก็เลยเห็นว่าผมน่าจะเอาประสบการณ์นี้มาเล่าให้พี่น้องฟังใน Facebook ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องเป็น 2 แบบ

แบบที่หนึ่งจะเรียกชื่อว่า Me and My Country ซึ่งจะเน้นเรื่องเทคนิคและเบื้องหลังในการเจรจา รวมทั้งวิธีคิดของผมในแต่ละเรื่องที่บางคนไม่เข้าใจอาจจะนำไปใช้ผิดๆได้

อีกแบบที่จะเขียนผมขอเรียกว่า Turn My Exile to Learning Period เพื่อจะเล่าเรื่องราวที่ได้พบเห็นและได้เรียนรู้อะไรจากที่ได้พบเห็น เพื่อจะได้เล่าให้ท่านผู้ติดตามผมได้เรียนรู้โลกไปกับผมด้วย ซึ่งท่านอาจจะ comment มาเพื่อผมจะได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วเเอามา share กันอีก เพราะบางประเทศผมไปหลายรอบแล้วแต่ภารกิจ

แต่บางสิ่งที่เล่าผมอาจจะไม่บอกชื่อประเทศหรือชื่อผู้นำถ้าจะทำให้เขาดูไม่ดี เป็นการรักษามารยาท เพราะบางทีเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องลับในขณะนั้น แต่ผมจะเอาเกร็ดเพื่อเป็นความรู้ให้ท่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงานของท่านได้ เช่นเทคเนิคการเจรจาที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ท่าน James Baker ได้ใช้เจรจากับ Yasser Arafat อดีตผู้นำ Palestines ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว

James Baker เล่าให้ผมฟังว่าท่าน Arafat จะเข้าห้องน้ำปวดฉี่บ่อยกว่าท่าน ท่านก็ให้เจ้าหน้าที่คอยรินน้ำให้ท่าน Arafat แล้วท่าน James Baker เองก็จะค่อยจิบน้ำ ไม่ดื่มเป็นเรื่องเป็นราว และก็ดำเนินการเจรจาไปเรื่อยๆ และดึงให้การเจรจามีความต่อเนื่องจนท่าน Arafat ปวดท้องฉี่หนักๆ ทนไม่ไหวแล้วจึงโน้มน้าวให้ท่าน Arafat ต้องตัดสินใจตามแนวทางที่ท่าน James Baker วางแผนไว้

ผลการเจรจาจึงลงเอยตามที่ท่าน James Baker อยากเห็น นี่เป็นตัวอย่างครับ

พบกันวันพรุ่งนี้ เริ่ม Me and My Country กันก่อนครับ


44, 8 ตุลาคม 2556

Me and My Country (1)

ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการเล่าเรื่องเบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิครับ

ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการประกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อนเป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้านเพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้

ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพงเกินจริงและรองรับผู้โดยสารได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ปุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บริษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะไม่จริง

ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้องยกเลิกการประมูลและแก้แบบใหม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป็นไร ผมใช้เงินแบงค์กรุงไทยกับแบงค์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่

ผลปรากฎว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลังจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย

และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับมาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องการของเขาและของเรา)

ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่าไทยจะไม่ยอมกู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญาที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำรองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากกว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน

ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดดออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือเต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้องใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มีใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา

ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาประกอบกับการปรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออกที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสามารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้องยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้

ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลายคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นนักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งหมดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก 6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะว่าอีก 6 เดือนจะชำระ

ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย

สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศาสตร์การเงินและการทำงานที่ควบคู่กันได้ดี เราจะสร้างTrust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในที่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เราได้ใช้บริหารและสร้างรายได้อย่างไม่จำกัดครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ

เชิญติดตามตอนต่อไป : เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 45, 46, 47, 48, 49,