*..รอโหลดซักกะเดี๋ยว..*           ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย..๒๕๔๙
. . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ
คลิกที่นี่...ดูสด VoiceTV และ AsiaUpdate *..รอโหลดซักกะเดี๋ยวเตง..*
  

@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กำแพงแห่งความเกลียดชัง..ประเทศไทยในปี ค.ศ.2114


กำแพงแห่งความเกลียดชัง..ประเทศไทยในปี ค.ศ.2114
By: My-Gift-Is-My-Song เว็บ pantip ราชดำเนิน

นิยายเรื่องนี้แม้จะเป็นเหตุการณ์สมมุติ แต่ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนสติคนไทยได้ดีทีเดียว...

มกราคม ค.ศ.2014

ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยเดินมาถึงจุดแตกหัก เกิดสงครามกลางเมือง ประเทศแตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเหนือ และ ฝ่ายใต้ โดยมีกรุงเทพมหานครเป็นจุดศูนย์กลางการต่อสู้แย่งชิงอำนาจอธิปไตย


สงครามกลางเมืองดำเนินไปกินระยะเวลาหลายเดือน มีการกวาดล้าง ขุดรากถอนโคนฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน








ฝ่ายเหนือสามารถครอบครองจังหวัดภาคเหนือ อีสาน และตะวันออก

ฝ่ายใต้สามารถยึดกรุงเทพมหานคร ราชบุรี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ตลอดจนจังหวัดทางใต้ไว้ได้ทั้งหมด


มิถุนายน ค.ศ.2014

กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติ เข้าแทรกแซงและตรึงกำลังตลอดพรมแดนไทยเหนือและไทยใต้




พฤศจิกายน ค.ศ.2014

สหประชาชาติจัดการเจรจาสันติภาพ แต่การเจรจาล้มเหลว ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้

ฝ่ายเหนือประกาศสถาปนาเป็นประเทศไทยเหนือ

ฝ่ายใต้ประกาศสถาปนาเป็นประเทศไทยใต้

ทั้งสองฝ่ายตกลงในสนธิสัญญาหยุดยิงแต่ยังคงสถานะสงครามต่อกัน มีการปิดพรมแดนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


เขตสามจังหวัดชายแดนใต้ใช้โอกาสที่รัฐไทยทั้งสองติดพันสงครามกลางเมือง จึงสามารถควบคุมหัวเมืองทั้ง 3 และบางส่วนของจังหวัดสงขลาเอาไว้ได้สำเร็จ ประกาศจัดตั้งเป็นรัฐปัตตานี


ปี ค.ศ.2015

มีการปะทะนองเลือดตลอดแนวพรมแดน ไม่มีทีท่าว่าจะระงับลงได้

สหประชาชาติได้บรรลุข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายในการสร้างแนวกำแพงเพื่อปกป้องพลเมืองปะทะกัน

ไทยเหนือและไทยใต้จึงเริ่มสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างกัน ยาวกว่า 427 กิโลเมตร แต่ยังคงสถานะสงครามต่อกันอยู่ตลอดเวลา

ไม่มีการตั้งชื่อกำแพงอย่างเป็นทางการ แต่มันมักถูกเรียกกันว่า "กำแพงแห่งความเกลียดชัง (Wall of hates)"



ปี ค.ศ.2018

3 ปี การก่อสร้างกำแพงแล้วเสร็จ ยอดผู้เสียชีวิตยุติลง การปะทะตามพรมแดนหมดไป เป็นกำแพงที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากกำแพงเมืองจีน พาดผ่านจากซ้ายสุดของจังหวัดกาญจนบุรี ผ่านไปทางปทุมธานี ไปจนสุดแม่น้ำบางปะกง สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงถูกทำลายลง และแม่น้ำบางปะกงถูกประกาศเป็นเขตกันชน (no man's land) ไม่สามารถใช้สัญจรได้


นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสองประเทศต่างมุ่งพัฒนาประเทศไปตามความเชื่อและอุดมการณ์ทางการเมืองของตน แต่ยังคงมีความเกลียดชังต่อกันอย่างยิ่งยวด โดยมีกำแพง Wall of hates เป็นปราการแบ่งแย่งทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน

รัฐไทยใต้ เร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เสียหายอย่างหนัก และต่อสู้กับรัฐปัตตานี ไม่นานนักก็สามารถบรรลุข้อตกลง 1 ประเทศ 2 ระบบ กับรัฐปัตตานีได้ จึงได้เกิดเขตการปกครองพิเศษปัตตานี

จากนั้นมารัฐทางใต้ก็ได้มุ่งพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก แม้จะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างหนักต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นฟูอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และประมง ต้องนำเข้าแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก จนกล่าวได้ว่า ครึ่งหนึ่งของประชากร ไม่ใช่คนไทย แต่รัฐใต้ก็แก้ไขปัญหาของตนได้ในที่สุด

รัฐไทยเหนือนั้น ทางภาคเหนือก็ดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนทางอีสานนั้นนอกจากเรื่องการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเบาต่างๆแล้ว รัฐยังได้เปิดเสรีอุตสาหกรรมซอฟแวร์ โดยได้ออกนโยบาย "ห้องเขียนโปรแกรมของโลก" ที่เอื้ออำนวยให้ไทยเหนือเป็นซิลิคอน วัลเลต์ ดึงดูดนักเขียนโปรแกรมและอุตสาหกรรมดิจิตัล ให้มาใช้ชีวิตและทำงาน Live and Work เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานของวิทยาการด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับดันและกุมทิศทางของโลกอนาคต นอกจากนี้ยังได้ออกนโยบายดีทร้อยท์แห่งเอเชีย ส่งเสริมให้ต่างชาติลงทุนกลับมาลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทคอีกครั้ง เช่นรถยนต์ ยานยนต์ประเภทต่างๆ เนื่องจากมีความพร้อมในด้านแรงงานมีทักษะจำนวนมาก (พวก ปวส. ปวช. วิศวกร และแรงงานมีฝีมือ) และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี


กาลเวลาดำเนินไป อย่างช้าๆ


ล่วงเข้าปี ค.ศ.2113

เป็นเวลา 99 ปีเต็มนับแต่เกิดสงครามกลางเมือง ทุกชีวิตที่ได้ร่วมกลียุคนั้นได้จากไปหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่หล่อเลี้ยงความเกลียดชังได้จางหายไปจนหมดสิ้น

ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2113 คืนสิ้นปี สิ้นศตวรรษที่ 21 อากาศกำลังเย็นสบาย รายล้อมไปด้วยสีสันของการเฉลิมฉลอง

การนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่ศตวรรษใหม่ในปีนี้มีความพิเศษว่าทุกครั้ง ผู้คนจากทั้งสองประเทศไทยมาชุมนุมกันอย่างล้นหลามตามหัวเมืองต่างๆ ทั้งประเทศไทยเหนือและประเทศไทยใต้ และตลอดแนวกำแพงแห่งความเกลียดชัง





และที่พิเศษที่สุด คือประตูผ่านแดนถาวรที่ใหญ่ที่ใหญ่สุดบริเวณปทุมธานีจรดอำเภอวังน้อย ที่ที่ผู้คนมาชุมนุมหลายล้านคน ทั้งทูตานุทูตจากประเทศต่างๆมาร่วมเป็นสักขีพยาน

ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์สำคัญในรอบร้อยปี การเคาท์ดาวน์ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นในช่วงชีวิตหนึ่ง

ทุกสายตาของทั้งโลก จับจ้องไปที่การถ่ายทอดสดการแถลงการณ์ร่วมของผู้นำประเทศทั้งสอง ที่กำลังกล่าวคำประกาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "การรวมชาติ"

"...... เราไม่รู้ว่า ทำไม เราจะต้องแบกรับมรดกความเกลียดชังอันนี้อีกต่อไป ในเมื่อทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ ไม่ได้เกลียดกัน แล้วเราก็พูดภาษาเดียวกัน กินอาหารเหมือนๆกัน และมีบรรพบุรุษร่วมกัน.... ในเมื่อเรายกแผ่นดินหนีจากกันไม่ได้ และการแบ่งแยกก็ไม่มีประโยชน์....

เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องรวมแผ่นดินกัน!"

เสียงคำปราศรัยสะท้อนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

"... 100 ปี มันนานเกินไปแล้วสำหรับความเกลียดชัง ข้าพเจ้า ในฐานะตัวแทนของปวงชนชาวไทย ขอประกาศสถาปนาประเทศไทยขึ้นใหม่! อีกครั้ง! นับแต่บัดนี้ เป็น..ต้น..ไป!

ในนามปวงชนชาวไทย ขอเชิญชวนเพื่อนร่วมโลก ผู้ยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคกันของเพื่อนมนุษย์ จงอวยพรเรา ประคับประคองเรา และร่วมนับถอยหลังสู่ศตวรรษใหม่ ไปพร้อมๆกัน .... 9 .. 8 ........3....2..1!"

สิ้นเสียงผู้นำสูงสุดของรัฐไทยใหม่ก็ได้ลงมือใช้ค้อนที่เคยใช้สร้างกำแพงนี้ ทุบเข้าไปที่กำแพงพร้อมกับเปล่งเสียงร้องว่า "Happy New Year!"

ประชาชนทั่วประเทศและตลอดแนวกำแพงกว่า 427 กิโลกเมตร ก็ได้เริ่มใช้ค้อนที่พวกเขาเตรียมมาเข้าทุบทำลายกำแพงนั้น อย่างสนุกสนาน แต่ระมัดระวัง เบิกบานแจ่มใส

พวกเขาทุบอิฐทุกก้อนที่สร้างขึ้นจากความกลัว ที่พวกเขาไม่ได้สร้างมันขึ้น ทำลายทุกแนวกั้นที่สร้างจากความเกลียดชัง ที่ไม่ได้ส่วนหนึ่งส่วนใดของเขา




เวลา.... พังทลายทุกๆอย่าง ที่ทุกๆคนเคยสร้างขึ้นมา
และเวลา... ก็สร้างทุกๆอย่าง ที่ทุกๆคนเคยพังมันลงไป

แล้วจะพัง เพื่อ?

สวัสดีปีใหม่ 2014

ปล.1 อยากให้คนเห็นเยอะๆ อย่าลืมโหวตนะ
ปล.2 ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์สมมุติ เป็นนิยายนะครับ เพื่อประโยชน์ในการให้แง่คิด


@ อัลบั้ม 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

By: karas อ่านแล้วเศร้า ตรงที่รู้ว่าพวกเราคือ รุ่นแห่งผลผลิตแห่งความเกลียดชัง ที่ต้องถูกกำจัดไปจากแผ่นดินนี้ก่อนเท่านั้น ประเทศไทยจึงจะสงบ คนรุ่นใหม่ถึงจะถูกสลายความเกลียดชังไปก็ผ่านเวลาไปอีกร้อยกว่าปี... อนาคตประเทศไทยคงต้องฝากไว้ในมือคนรุ่นหลังแล้วเอาบทเรียนจากรุ่นนี้ไปใช้เพื่อรู้ว่า ความเกลียดชัง ความขัดแย้งมันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้ใครเลย นอกจากความสูญเสียเท่านั้น อนาคตประเทศไทยจะต้องถูกสร้างใหม่ด้วยมือคนรุ่นใหม่ ช่วยกอบกู้เก็บเศษซากประเทศไทยที่ถูกทำลายจากคนรุ่นนี้แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิมด้วยนะ...


รูปที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของสงครามกลางเมือง

ภาพชนชั้นปกครองร่างอ้วนพี กำลังขี่หลังชนชั้นแรงงานที่หิวโหยผอมโซ จนเห็นกระดูก ไร้แววตา ไร้ความหวัง

ชนชั้นที่อ้วนพี หลับตากุมตาชั่งไว้ ไม่รับรู้สิ่งใด

เขาถือไม้เท้าที่หมายถึงเป็นผู้กุมสติปัญญา เป็นชั้นปัญญาชน ค้ำยัน(สังคม)ทั้งสองคนไว้

ชนชั้นแรงงานก็ไม่รู้ตัวว่า ผู้ค้ำยันสิ่งหนักอึ้งนี้ไว้ ไม่ใช่แค่ไม้เท้า

ภาพ "Piggyback Justitia" โดย Jens Galschiøt (Jens Galschiot)
http://www.wooarts.com/jens-galschiot/

@ หยุดเถอะ..พอแล้ว..พี่น้องคนไทยเอ๋ย!!! ก่อนมันจะกลายเป็น รวันดา2

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อัลบั้ม 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย


2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต
และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หยุดเถอะ..พอแล้ว..พี่น้องคนไทยเอ๋ย!!! ก่อนมันจะกลายเป็น รวันดา2

By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร *ภาพเหตุการณ์หน้ารามฯ 30พ.ย.2556*



ผมเริ่มสลดใจ ใยคนที่หนุนหลังเทือกไม่หยุด ทุกคนก็เตือนแล้วน่ะ!!!

By: xam เว็บประชาทอล์ค : พอถึงจุดๆหนึ่ง ความเกลียด โกรธ กลัว เข้าครอบงำ ทำให้ไม่อาจจะยั้งคิด ยั้งทำได้ สุดท้ายก็เกิดการกระทบกระทั่ง ต่อมาก็ปะทะ ต่อมาก็เกิดจลาจล ต่อมาก็เกิดเป็นการล่าฝ่ายตรงข้าม

มันจะเกิดที่ ตจว.ก่อน โดยเฉพาะภาคอีสานและเหนือ จังหวัดที่มี ส.ส. พท. และ ปชป. นี่เป็นจุดเสี่ยง ถ้ามันเกิดขึ้น มันจะเป็นเหมือนไฟลามทุ่ง สุดท้ายก็แผ่ไปทั้งประเทศ

บทต่อมา จะให้ทหาร หรือตำรวจ ออกมาคุม ประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ มันจะห้ามได้นิดหน่อยครับ แต่สถานการณ์มันจะคล้ายๆกับทางใต้ คือ รู้ว่าใครเป็นฝ่ายตรงข้าม ก็ตามล่า

เช่น นาย ก.เป็นเสื้อแดง ถูกนาย ข.เป็นเสื้อเหลือง หยาม เลยบันดาลโทสะ ฆ่านาย ก.ตาย ทำให้ ญาติ เพื่อนพี่น้องนาย ก.แค้นนาย ข. จึงตามล่า แค้นไม่จบสิ้น

ซึ่งถึงจุดๆนั้น ทหาร ตำรวจก็ห้ามไม่ได้ บางทีคู่กรณี อาจจะเป็นทหารกับทหาร ทหารกับตำรวจ ตำรวจกับตำรวจเองก็ได้ ทำให้ประเทศไม่ต่างกับสงครามกลางเมืองที่รวันดา

ท้ายสุด UN ก็จะเข้ามาไกล่เกลี่ย สุดท้ายก็ลงประชามติ ว่าจะเอายังไง คนที่มีส่วนตามสำนักข่าว ตปท. ก็ต้องถูกดำเนินคดี เพราะเป็นสาเหตุของสงครามครั้งนี้

สรุป คนที่หนุนเทือกก็รู้ว่ามีสิทธิ์เกิดสงครามกลางเมือง เพียงแต่เค้าคิดว่าอีกฝั่งคงต้องหักพวงมาลัยหลบแน่ๆ แต่ลืมคิดไปว่า ถึงแม้จะโง่ จะจน อยู่บ้านนอก ชนบท แต่ "ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด"

@ พูดไทย..ภาพชัด..

Hotel Rwanda

กรณีของประเทศรวันดา ชาวฮูตู (Hutu) ได้จัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่ชื่อว่า Radio Télévision Libre des Mille Collines ปลุกเร้าผู้ฟังให้หยิบอาวุธและออกไปตามท้องถนนเพื่อสังหารชาวทุตซี่ (Tutsi) หรือที่เรียกว่า "แมลงสาป" พร้อมทั้งแจ้งที่อยู่ของเป้าหมายและบริเวณที่ชาวทุตซี่หลบซ่อนตัวอยู่เพื่อให้สามารถฆ่าได้อย่างรวดเร็ว...

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน (พ.ศ.2537/ค.ศ.1994) เรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันน่าเศร้า และ แสนโหดร้าย

หนังเรื่องนี้เล่าถึงเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นในรวันดา ประเทศเล็กๆในทวีปแอฟริกา

ในรวันดา ประกอบไปด้วย 2 ชนเผ่า คือ ฮูตู และ ทุตซี่ บัตรประชาชนของชาวรวันดาจะมีข้อความแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าเป็นเผ่าอะไร

ฮูตูเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อน ส่วนทุซซี่อพยพมาจากเอธิโอเปีย

หลังสงครามโลก รวันดาตกเป็นอาณานิคมของเบลเยี่ยม แต่เบลเยี่ยมกลับไปผูกสัมพันธ์และให้ความสำคัญกับเผ่าทุตซี่มากกว่า

รัฐบาลทุตซี่กดขี่ข่มเหงชาวฮูตู จนทำให้เผ่าฮูตูต้องลุกขึ้นปฏิวัติต่อต้านเบลเยี่ยมและเผ่าทุตซี่

การปฏิวัติสำเร็จ ชาวทุตซี่อพยพไปอยู่ที่อูกันดา และตั้ง RPF กลุ่มกองกำลังแนวหน้ารักชาติรวันดา เพื่อต่อต้านเผ่าฮูตู

เรื่องราวใน Hotel Rwanda เริ่มต้นจากตรงนี้...

มีการเจรจาสงบศึกระหว่างทั้งสองเผ่า เซ็นสัญญากันเรียบร้อย ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น

แต่แล้ว ประธานาธิบดี จูเวนัล ฮับยาริมานา ของรัฐบาลฮูตู กลับถูกลอบสังหาร ทำให้ชาวฮูตูโกรธแค้นมาก เพราะคิดว่าเป็นการกระทำของเผ่าทุตซี่ แล้วการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็เริ่มต้นขึ้น

Hotel Rwanda เล่าเรื่องผ่าน Paul Rusesabagina ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมแห่งหนึ่งในรวันดา พอลเป็นชาวฮูตู...แต่มีภรรยาและเพื่อนบ้านมากมายเป็นทุตซี่

พอลได้ช่วยเหลือชาวทุตซี่ให้รอดพ้นจากการถูกสังหารนับพันคน การช่วยเหลือครั้งนี้เรียกได้ว่าเอาชีวิตเข้าแลก...

ชาวฮูตูที่ช่วยเหลือพวกทุตซี่ ก็ย่อมเป็นศัตรูของชาวฮูตูด้วยกันเอง

เหตุการณ์ครั้งนี้มีคนตายร่วม 8 แสนคน ทุตซี่ 750,000 และ ชาวฮูตูอีก 50,000

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ น่ากลัวยิ่งกว่าสงคราม เพราะนี่คือการฆ่าไม่เลือก...ลูกเล็กเด็กแดง ผู้หญิง คนแก่ ขอให้เป็นทุตซี่...ถ้าโดนจับได้ ก็ถูกฆ่าหมด

ภาพศพนอนตายอยู่เกลื่อนเมือง ดูแล้วหดหู่เหลือเกิน โดยเฉพาะฉากที่ขับรถตู้กลับโรงแรมหลังจากไปซื้อของนั่น...ดูแล้วเกินทนจริงๆ

และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น...ชาวรวันดาถูกโลกภายนอกทิ้งให้อยู่ในความหวาดกลัว

เหล่าประเทศผู้นำรวมทั้ง UN ต่างก็รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ แต่กลับพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" และไม่พยายามเข้ามาช่วยระงับสถานการณ์เลย

เรื่องราวอันแสนโหดร้าย เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนนี่เอง แต่น้อยคนนักที่จะรับรู้ ว่ามีเคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น

และคงจะเป็นแบบที่ตัวละครในเรื่องว่าไว้ คือ คนที่บังเอิญได้รับรู้ ก็คงจะแค่อุทาน "ทำไมมันโหดร้ายอย่างนี้นะ" แล้วก็นั่งกินข้าวกันต่อไป...

หลายๆคนบอกว่า เพราะรวันดาเป็นแค่ประเทศเล็กๆที่ไม่มีอะไร แล้วมันเรื่องอะไร ที่เหล่าประเทศใหญ่ๆที่มีอะไรทั้งหลาย จะต้องลำบาก เสียเวลา เสียเงินมาช่วย เพราะช่วยแล้วก็ไม่ได้อะไร...

สิ่งที่ประเทศเหล่านั้นทำ ก็แค่อพยพคนของประเทศตัวเอง พากลับประเทศ...เท่านั้นเอง

หลังจากเหตุการณ์ยุติลง มีชาวทุตซี่เหลือรอดแค่แสนกว่าคนเท่านั้น

เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นี้...เพราะหลังจากนั้นกลุ่ม RPF ก็ไล่สังหารชาวฮูตูเป็นการแก้แค้น

แม้แต่ในปัจจุบัน ชาวทุตซี่บางส่วนก็ยังโกรธแค้นชาวฮูตู ในขณะที่ชาวฮูตูเองก็ยังไม่ลืม ความลำบากเมื่อครั้งที่ชาวทุตซี่เป็นรัฐบาลปกครองประเทศ

เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง Paul Rusesabagina ก็มีตัวตนอยู่จริง ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเบลเยี่ยม

ก็ขอแนะนำให้ดู แล้วจะรู้ว่า เหตุการณ์เลวร้ายขนาดนี้ก็เคยเกิดขึ้นบนโลกกลมๆของเรา และที่สำคัญมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี่เอง...

@ พูดไทย..ภาพชัด..

@ กำแพงแห่งความเกลียดชัง..ประเทศไทยในปี ค.ศ.2114

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หายอึดอัดเสียที...เมื่อนายกฯปู แถลงการณ์ยุบสภาผู้แทนราษฎร


@ พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร 9ธ.ค.2556


หายอึดอัดเสียที...เมื่อนายกฯปู แถลงการณ์ยุบสภาผู้แทนราษฎร
By: มังกรดำ เว็บประชาทอล์ค 9ธ.ค.2556

มองมาตลอด คงจำได้ว่า ผมเคยบอกว่า โล่งอกที่อำนาจยุบสภากลับมาที่เรา

หลังจากแมลงสาบหลงกล นึกว่าเราสู้ต่อ อีตอนที่เราขอปิดประชุม ลงมติไม่ไว้วางใจ ไม่ปล่อยให้การลงมติเลื่อนไปในการประชุมสมัยหน้า

บอกตรงๆ ว่า ตอนนั้น ใจเต้นตุ๋มๆ ต๋อมๆ กลัวว่าเราจะถูกมันทำอย่างนั้นได้จริง

พออำนาจการยุบสภากลับมาอยู่ที่เรา ก็มองไปที่รัฐบาล และ นายกปูว่า ยังไง ไม่พังแน่นอน

การที่ออกมายืนยัน ว่า ไม่ยุบ ไม่ลาออก นั้น เราประสานเสียงกันถูกต้องแล้ว

เพราะต้องสู้กันให้สุดๆ ไปก่อน

จนกว่าสถานการณ์เปลี่ยน ถึงจุดเราเสี่ยง ก็ปรับมาเล่นแผนใหม่

ซึ่งในใจ ผมนึกอยู่ว่า ในที่สุดหากไม่ไหวจริงๆ ก็ยุบสภา แล้วเรารักษาการณ์ต่อไป ไม่ว่าอะไร

เราสู้เพื่อชนะ ไม่ใช่สู้เพื่อแพ้

แต่ ที่ผ่านมาหลายวันก่อนต้องออกมาช่วยกันโหม อัด เรื่องไม่ยุบ ไม่ลาออก ประสานเสียงกับรัฐบาล ให้หนักเอาไว้ก่อน

ข้อสังเกต: แน่นอนว่า ปปช. มันเล่นจริง

แต่มันประมาท มันจะประกาศชี้มูลหลังจาก กองทัพ 9 ทัพ ม็อบกบฏไปถึงทำเนียบแล้ว

และให้คนจำนวนมากที่นั่น เป็นกระแส ในการการตอบรับการชี้มูล

แต่รัฐบาลไหวทัน และรู้แผนมันอย่างแน่นอนว่ามันต้องการอะไร

วางเกมมาตลอด "ทำเหมือนว่า ไม่ลาออกอย่างแน่นอน ไม่ยุบสภาอย่างแน่นอน"

ด้วยการตั้งแนวตำรวจ ทหารที่ทำเนียบ ออกข่าวใหญ่โต

เชิญทูตนานาชาติสังเกตการณ์

เกมนี้เราเล่นได้ดี


ข้างล่างต่อไปนี้ คือ สิ่งที่ผมคิดไว้ในใจมาสองสามวันแล้ว และอ่านมาตราต่างๆ ใน รัฐธรรมนูญ 50 ว่าตรงไหนทำได้ไม่ได้อย่างไร

แต่ไม่พูด เพราะไม่รู้ว่า รัฐบาลเขาจะคิดเหมือนกัน หรือคล้ายกันไหม

อย่างที่บอก การเสนอความเห็นของพวกเรา ในตอนนี้ ต้องลับ ล้วง คราง กันให้มาก

อ่านใจรัฐบาลของเราให้ดี แล้วเล่นไปตามเกมเพื่อช่วยกันหนุน

จึงขอบอกว่า: อย่าได้เสียอกเสียใจ เสียขวัญอะไรเลย

เชื่อมั่นว่า ยังไง รัฐบาลก็เป็นของเรา และ นายกฯ - ส.ส.เพื่อไทย - เสื้อแดง ยังปกติ ยังกุมอำนาจรัฐเท่าทีมีไม่หดหาย

ชิงยุบสภาก่อนที่ ปปช. จะชี้มูล 312 คนและเรื่องจำนำข้าวทำให้นายกฯต้องหยุดทำงาน

ส.ส.ฝ่ายเพื่อไทย พรรคร่วมพ้นสมาชิกภาพ

และคณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง

ซึ่งจะทำให้มีผลดังนี้คือ

ให้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ปชป. ที่รออยู่ในลำดับถัดไปเข้าทำงานแทนชุดที่ลาออก

ส.ส. ปชป. ร่วมกับ 50 สว. เสนอชื่อนายกฯคนใหม่

นี่ต่างหากคือหมากที่ซ่อนเร้นไว้ ไม่ใช่นายกฯ ม.7

ตอนนี้ถึง ปปช. จะชี้มูลอย่างไรก็ไม่มีผลแล้ว

เพราะข้อบังคับตราไว้ว่า

เมื่อยุบสภาต้องให้รัฐมนตรีทั้งหมดรักษาการต่อจนกว่าจะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่

จากนี้ไป ถึงจะให้ลาออกจากรัฐบาลรักษาการก็ไม่อาจทำได้ เพราะไม่มีข้อบังคับใดให้ทำเช่นนั้น

ในรัฐธรรมนูญไม่มีแม้แต่ติ่งที่จะให้ปลัดกระทรวงทำการแทนรัฐมนตรี

ถึงตอนนี้ ปปช. ชี้มูลได้แต่ไม่มีผลต่อการรักษาการ

เพราะมูลที่ชี้นั้นมีผลต่อตำแน่งของคนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งตอนนี้อยู่คนละช่วงเวลา

นายกฯรักษาการถือว่าเป็นนายกฯคนใหม่ตามข้อกำหนด การชี้มูลจึงเอื้อมไม่ถึง

เพราะแม้จะเป็นนายกฯคนเดียวกันแต่คนละที่มาของตำแหน่ง

ความสนุกของการทำลายประชาธิปัตย์ จึงเริ่มขึ้นในเกม ที่เราเคยคิดว่า จะเล่นแบบนี้ หรือไม่เล่นแบบนี้ก็ได้

ถ้าเขาไม่เอา ปปช. มาเล่นเรา เราก็อยู่ต่อ

แต่เมื่อเขาเอา ปปช.มาเล่นด้วย เราก็ออกรูปแบบนี้

ซึ่ง เป็นเกม แก้ผ้าประชาธิปัตย์กลางตลาด

มันนึกว่า เรามองไม่เห็น การเลื่อน ส.ส.บัญชีรายชื่อของมัน ขึ้นมาทำหน้าที่ร่วมกับ 40 สว.

เพื่อเลือก นายกฯของมัน หลังจาก ปปช. ชี้มูล

มันนึกว่า เราโง่ ที่มัน แกล้งเสนอ นายก ม.7 แล้วเราจะเชื่อตามนั้น

ไอ้อลงกรณ์ นี่ก็ตัวดี

มันออกมาลาออกทีหลัง เพื่อกะหลอกให้เราตายใจว่า มันไม่มี ส.ส.ในสภาแล้วนะ

ตอนนี้ เรา ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า ทำงาน กิน เที่ยว เล่น

เตรียมตัว วันคริสต์มาส ปีใหม่ ให้สำราญบานใจ

ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ทำการรัฐบาล ที่ทำการภาครัฐ

ไปเที่ยวที่ไหน ก็ช่วยหาเสียงปูพรมเอาไว้ล่วงหน้า

อีกสองเดือน เจอกันที่ คูหาเลือกตั้ง

อีกสามเดือน พบกับ "รัฐบาลปู 2"

ถ้าเราเอาตัวไปคลุกตรงนั้น เราจะไม่เห็นอะไร แล้วก็เป็นกังวล ถอยออกมา มองไปรอบด้าน

พ้นเวลาเล่นสงครามจิตวิทยาในโลกไซเบอร์ กับ สถานการณ์ ม็อบกบฏแล้ว


เมื่อหลายวันก่อน ผมยังคิดเลยว่า ทำไมเหตุการณ์ช่วงนี้จึงไม่รู้สึกกระวนกระวายใจอะไรเลย

มีแต่ รำคาญตา กับพวกม็อบกบฏเท่านั้น

ตอนนายกฯ ถอน ร่าง พรบ. สว. ก็ยังแค่ เฉยๆ

ออกมาร้อง "เฮ้ย" คำเดียว แค่นั้นเอง

สัญญาณ ปปช. นั้น คุณก็ดูเอานะ ว่า

นายกฯ แถลงยุบสภา ตั้งแต่ก่อน กบฏ 9 ทัพ เคลื่อนขบวน

ทั้งๆ ที่ ออกข่าวใหญ่โตมาตั้งแต่เมื่อวาน ว่า มีการตั้งรับใหม่

มีการตั้งแนวป้องกันทำเนียบใหม่

มีทหารเข้าไปช่วยในทำเนียบแล้ว

ฯลฯ

ชิงยุบสภา ก่อน ปปช. ชี้มูล

ก็หงายเงิบ ไปตามกัน

หากผมเป็น สุเทพ หรือ คนชักใย ก็ งง ไปไม่ถูกเหมือนกัน ว่าจะทำไงต่อ

จะให้ปักหลักยึดหน้าทำเนียบต่อ "อีก 3 เดือน" จนกว่ามีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่งั้นหรือ?

และวันนี้ ถ้าไม่ประกาศพักม็อบ ถึงพรุ่งนี้ ก็ยากแล้วกับการหากระไดลง

แต่ต้องชมนะ ว่า การแก้เกมเขาเก่ง เรื่อง ยกเลิกหมายจับ 13กบฏ เหลือแต่ต้องโดนหมายเรียก

ทำให้เขาผ่อนคลายเชือกที่รัดพอให้หายใจได้บ้าง

นายกปู จะได้เป็น นายกรัฐมนตรี 3 สมัย

มีข้อกำหนดว่า เป็นนายกฯได้ไม่เกิน 8 ปี

คราวนี้ เป็นไปแล้วราวๆ เกือบสามปี

ครั้งต่อไป เป็นอีก 3 ปี

เป็นครั้งที่สาม สัก 2 ปี

ถึงตอนนั้น คนที่เป็นนายกฯต่อ จะไม่ใช่คนในนามสกุล ชินวัตร




วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน พระเจ้าข้า...

พระราชดำรัส ณ ศาลาราชประชาสมาคม 5 ธันวาคม 2556

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส..

"ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอแสดงสนองพร และไมตรีจิตดังนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

บ้านเมืองของเราเป็นและเราเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะเรามีความปึกแผ่นในชาติและต่างบำเพ็ญกรณียกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรจะตระหนักในข้อนี้ให้มาก และตั้งใจประพฤติตัวปฏิบัติงานให้สมฐานะและหน้าที่เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมคือความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุข ความเจริญตลอดไป"

ในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม ณ วังไกลกังวล 5 ธันวาคม 2556



งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ศุกร์ที่ 9 มิ.ย.49


@ งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ศุกร์ที่ 9 มิ.ย.49


ปลื้มปีตี"ในหลวง"เสด็จออก ณ สีหบัญชร เปล่งเสียง"ทรงพระเจริญ"กึกก้อง วันที่ 5 ธ.ค.2555
ที่มา: น.ส.พ.เดลินิวส์

เมื่อเวลา 09.55 น. วันนี้ (5 ธ.ค.2555) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยรถเข็นพระที่นั่งพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ การนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ศ.คลินิก นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผอ.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เป็นผู้ถวายการเข็นรถพระที่นั่ง พร้อม ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และคณะแพทย์พยาบาลตามเสด็จ

ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ขาวจักรี เสด็จพระราชดำเนินมหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2555 วันที่ 5 ธันวาคม 2555 ในขณะเสด็จพระราชดำเนินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพักตร์ที่สดใส ทรงยิ้มให้แก่พสกนิกร ก่อนจะประทับรถตู้พระที่นั่ง ซึ่งติดกระจกใสเพื่อให้พสกนิกรได้ชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด และเสด็จฯ ออกจาก รพ.ศิริราช

ตลอดเส้นที่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนผ่านอย่างช้าๆเพื่อให้พสกนิกรชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด ประชาชนต่างกู่ร้อง ทรงพระเจริญดังกึกก้องทั่วทั้งโรงพยาบาลศิริราช พสกนิกรจำนวนมากเมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่าน น้ำตาแห่งความปลื้มปีติได้ไหลออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขณะที่ประชาชนต่างชูพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเหนือหัวพร้อมโบกธงชาติและธงสีเหลือง ที่มีพระปรมาภิไธย "ภปร."

นอกจากนี้ระหว่างเสด็จประทับรถตู้พระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโบกพระหัตถ์ขวาให้กับประชาชนที่ต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลือง เพื่อมารอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จฯ อยู่ตามสองฟากฝั่งถนนทั้งในและด้านนอกของโรงพยาบาลศิริราช อย่างเนืองแน่น







ครั้นเมื่อรถยนต์พระที่นั่งเทียบอัฒจันทร์มุขตะวันออก พระที่นั่งอนันตสมาคม เสด็จขึ้นชั้น 2 โดยลิฟต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ ณ ห้องมุขด้านทิศใต้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงฉลองพระองค์ครุย ณ ห้องมุขด้านทิศเหนือ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ฉลองพระองค์ครุยเสร็จแล้ว เสด็จลงจากพระที่นั่งอนันตสมาคมทางบันไดมุขด้านทิศใต้ไปทรงยืนเฝ้าที่พระแท่นหน้าสีหบัญชร ถัดมาเป็นแถวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา, นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา ตามลำดับ ด้านหลังเป็นแถวคณะรัฐมนตรี, คณะทูตานุทูต, สมาชิกรัฐสภา, ข้าราชการตุลาการ, ข้าราชการทหาร, พลเรือน, ผู้แทนศาสนาอื่นๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตามตำแหน่งหน้าที่ บริเวณด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ตำรวจหลวง 8 นาย ยืนเฝ้าฯ รักษาการณ์และนายทหารราชองครักษ์ยืนเฝ้าฯ ส่วนพระที่พระลานพระราชวังดุสิต ทหารรักษาพระองค์ และราษฎรทุกหมู่เหล่า เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล

จากนั้นเวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกท้องพระโรง พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมวงศานุวงศ์ทรงยืนเฝ้าฯ ด้านหลัง ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม ขณะนี้ เจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพระวิสูตร เลื่อนพระแท่นที่ประทับไปยังสีหบัญชร ชาวพนักงานกระทั่งมโหระทึก ประโคมแตรฝรั่ง ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ฝ่ายละ 21 นัด ครั้นสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล แทนพระบรมวงศานุวงศ์ จบแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าฯ ณ ท้องพระโรงหน้า พระที่นั่งอนันตสมาคม

ลำดับต่อมา นายกรัฐมนตรี, ประธานรัฐสภา และ ประธานศาลฎีกา เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ เพื่อเป็นตัวแทนคณะบุคคลจากหน่วยงานของภาครัฐและพสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล จากนั้น พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กราบบังคมทูลพระกรุณาและกล่าวนำทหารรักษาพระองค์ถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ผู้เฝ้าฯ ในมหาสมาคม ถวายความเคารพพร้อมเพรียงกัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัส หลังเสร็จสิ้นพระราชดำรัส สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงยืนเฝ้าฯ ด้านหลังพระราชอาสน์ กองทหารเกียรติยศสั่งหน้าตรงวันทยาวุธ เหล่าพสกนิกรทั่วหน้าพระลานพระบรมรูปทรงม้า ตลอดจนถนนราชดำเนินกลาง พร้อมใจกันถวายพระพร เปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้องยาวนานกว่า 5 นาที แล้วพร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ทั้งนี้ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่บนพระราชอาสน์ ได้ทรงทอดพระเนตรพสกนิกร ด้วยสายพระเนตรเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งซึมซับนาทีแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ มิอาจกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติได้

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปประทับพักพระราชอิริยาบถ ณ ห้องมุขด้านทิศใต้ เมื่อพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่เฝ้าฯ คอยส่งเสด็จบริเวณชั้นล่าง พระที่นั่งอนันตสมาคมเรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากพระที่นั่งอนันตสมาคมโดยลิฟต์ไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จฯ กลับโรงพยาบาลศิริราช โดยตลอดเส้นที่ขบวนรถตู้พระที่นั่งเสด็จกลับได้เคลื่อนผ่านอย่างช้าๆเพื่อให้พสกนิกรชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด ประชาชนยังคงกู่ร้อง ทรงพระเจริญๆๆๆๆๆ ดังกึกก้องไปทั่ว พสกนิกรจำนวนมากเมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่านกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติอีกครั้ง หลายคนต่างชูพระบรมฉายาลักษณ์องค์พระเจ้าแผ่นดินขึ้นเหนือหัวพร้อมโบกธงชาติและธงสีเหลือง ที่มีพระปรมาภิไธย "ภปร." ส่วนหลายคนก็กอดพระบรมฉายาลักษณ์แนบองด้วยความประทับใจที่สุดในชีวิต

ต่อมาเวลา 11.55 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ กลับโดยรถยนต์พระที่นั่งจาก มหาสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต มายังอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในฉลองพระองค์ครุยราชภูษิตาภรณ์ ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ศ.คลินิก นพ. ประดิษฐ์ ปัญจวีณีน ผอ.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาการุณย์ เป็นผู้ถวายการเข็นรถพระที่นั่ง ผ่านไปยังโถงอาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ประทับ ณ ชั้น 16 การนี้ระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินผ่านประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยิ้มให้กับประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ท่ามกลางเสียงสดุดีแซ่ซ้องสรรเสริญว่า "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้อง ขณะที่ประชาชนต่างชูพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเหนือหัวพร้อมโบกธงชาติและธงสีเหลือง ที่มีพระปรมาภิไธย "ภปร." ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์ทรงยิ้มให้กับประชาชน ซึ่งภาพที่ปรากฏได้สร้างความปลื้มปีติให้แก่พสกนิกรที่มาเฝ้ารอรับเสด็จฯ เป็นอย่างมาก พสกนิกรต่างตื้นตันใจที่ได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนที่จะเสด็จฯ ขึ้นไปประทับยังชั้น 16 พสกนิกรได้พร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีมหาราชา ท่ามกลางน้ำตาแห่งความปลื้มปิติของประชาชนที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้







ด้านความรู้สึกของประชาชนที่ได้มาเฝ้าฯ รับเสด็จ มร.ทาเคชิ ฟูจิทานิ หัวหน้าสำนักข่าวหนังสือพิมพ์อาซาฮี ชินบุน ประจำสำนักงานกรุงเทพฯ เผยความรู้สึกว่า รู้สึกปลื้มใจและประทับใจ เมื่อได้เห็นท่านเสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม ได้เห็นรอยยิ้มของพระองค์ท่านอย่างชัดเจนในรอบ 3 ปีที่ได้มาทำงานประจำที่กรุงเทพ รวมถึงยังรู้สึกทึ่งและประหลาดใจกับจำนวนคนนับแสนคนมารวมตัวกัน เสมือนพระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าประชาชนคนไทย ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็ต่างตั้งตาคอยการเสด็จออกในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครั้งนี้ด้วย เพราะราชวงศ์ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน

นางลอร่า ศศิธร พิธีกรชื่อดัง เผยว่า ลูกสาวรบเร้าให้พามาสัมผัสบรรยากาศสักครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยการเขียนการ์ดวางไว้บนหัวเตียง ตัวเองและลูกสาวมีโอกาสมาครั้งแรก เตรียมตัวออกจากบ้านมาแต่เช้าตรู่จับจองพื้นที่ห่างจากแถวหน้าประมาณ 50 เมตรเท่านั้น เมื่อได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอยู่ท่ามกลางมวลพสกนิกรที่พร้อมใจกันมาอย่างไม่มีใครบังคับ มีความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน ทั้งดีใจ ตื่นเต้น และซาบซึ้งใจ

นางสาวจิตติมา วรรธนะสิน พี่สาวนักร้องดัง จิรายุสและเจตริน วรรธนะสิน กล่าวว่า เดินทางมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า ชวนเพื่อนๆ มาถวายพระพรด้วยกัน ส่วนใหญ่ไม่เคยพลาดโอกาสสำคัญเช่นนี้สักครั้ง

นางบรรยง เชื้อชัย แม่บ้านวัย 64 ปี ชาวอุบลราชธานี เดินทางมาพร้อมลูกสาวอีก 3 คน เปิดเผยว่า อยากมาถวายพระพร เนื่องในโอกาววันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปีไม่เคยพลาดมาเฝ้าฯ รับเสด็จและร่วมถวายพระพร วันนี้ได้เห็นพระองค์ท่านมีพระพักตร์ที่แจ่มใส รู้สึกปลาบปลื้มใจที่ในหลวงทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรงขึ้น และอยากให้พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุถึงร้อยๆ ปี

นายประพันธ์ เผยภูเขียว อายุ 57 ปี อาชีพรับจ้าง ชาวอ.ศรีราชา จ.ชลบุรี กล่าวด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ ว่าตั้งใจมาเฝ้ารอรับเสด็จฯ ตั้งแต่เมื่อคืนวาน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีโอกาสได้เห็นพระองค์ท่าน รู้สึกปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อปวงชนชาวไทย ดีใจที่เห็นพระพักตร์พระองค์ท่านสดใส ขอให้พระองค์ท่านหายจากพระอาการประชวร และเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป

นายนคร ชนะทวีนันทพงศ์ และน.ส.ณัฐสุดา ชาวต.บ้านกล้วย อ.เมือง จ.สุโขทัย กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า ในปีนี้เป็นปีแห่งมหามงคล มีความตั้งใจอย่างมากที่จะเดินทางจากบ้านเกิดมาที่รพ.ศิริราช เป็นครั้งแรกที่ได้มาเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกวันนี้ได้น้อมนำแนวทางปฎิบัติเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในชีวิตประจำวันโดยตลอด ขอให้พระองค์ท่านทุกพระองค์มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.


@ นายกฯปู-ทหาร ซ้อมใหญ่พระราชพิธีเสด็จออก ณ สีหบัญชร




PlayListฉบับเต็มคลิป1-8 (คลิป4คือคลิปที่สลิ่มเอาไปตัดต่อคำพูด)

จากใจจริง...พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร

วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2556

พี่น้องชาวไทยที่เคารพรัก

ผมได้เฝ้าดูเหตุการณ์การปลุกระดมมวลชนของคุณสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์อย่างใกล้ชิด ผมขอกราบเรียนว่าการเมืองไทยโหดร้ายและเลือดเย็นมาก ผมถูกใส่ร้ายมาตลอดโดยเฉพาะประเด็นความไม่จงรักภักดี

ผมขอยืนยันว่าผมไม่เคยแม้แต่จะคิดกล่าวว่าร้ายเจ้านายทุกพระองค์ เพราะผมเป็นคนที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบรมวงศานุวงศ์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น การได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีสมรสพระราชทานให้ผมและคุณหญิงอ้อ

สมเด็จพระเทพรัตนฯ เสด็จทอดพระเนตรการยิงดาวเทียมไทยคมดวงแรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดสถานีภาคพื้นดินควบคุมและพระราชทานนามไทยคมให้แก่ดาวเทียม

พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้าฝ่ายในให้คุณหญิงอ้อ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติจุลจอมเกล้าวิเศษให้กับผมเป็นกรณีพิเศษ และยังทรงพระเมตตาต่อผมให้ได้มีโอกาสถวายงานต่างๆ รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอีกมากมาย

ดังนั้นนอกเหนือจากความเป็นเจ้านายในพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ที่ผมและครอบครัวรักและศรัทธา ยังเป็นความกตัญญูส่วนครอบครัวของผมด้วย

พี่น้องจะรักจะเกลียดเป็นสิทธิของพี่น้อง แต่โปรดอย่าหลงเชื่อคนที่ยืมมือท่านเข้าสู่อำนาจโดยกระบวนการโกหกหลอกลวงตัดต่อเรื่องผม กล่าวหาผมสร้างภัยต่อเจ้านายที่ผมจงรักภักดี กล่าวหาว่าผมอยากเป็นประธานาธิบดี ทั้งที่ไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย

ผมถูกกล่าวหาให้ร้ายมาโดยตลอด โดยผมต้องอยู่ต่างประเทศจากครอบครัวมาถึง 7 ปีแล้ว ทั้งๆที่ผมเพียงอยากรับใช้ประเทศ พี่น้องประชาชน และถวายงานเจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์เท่านั้น

อย่าโหดร้ายกับผมเลยครับ ผมก็คือคนไทยที่รักชาติ รักประชาชน และรักเจ้านายไม่น้อยกว่าท่านทั้งหลายครับ

ด้วยความขมขื่นต่อการถูกใส่ร้าย

รักและเคารพ

พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานน้ำสังข์เนื่องในงานมงคลสมรส ระหว่าง ร้อยตำรวจเอก ทักษิณ ชินวัตร กับ นางสาว พจมาน ดามาพงศ์ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2519