เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 35, 36, 37, 38, 39,
By: Thaksin Shinawatra
35, 1 กันยายน 2556
วันนี้รู้สึกดีใจมากและขอขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาตาม Facebook ผมจนครบ 1 ล้านคนในวันนี้
ขอเล่าเรื่องอังกฤษอีกที ก่อนออกจาก London ไป Venice, Italy พรุ่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ในกรุงลอนดอน ช่วงนี้ผมเห็นคนไทย เศรษฐีทั้งใหม่และเก่า สนใจมาลงทุนที่ลอนดอนด้านอสังหาริมทรัพย์ กันหลายคน ผมเลยขออนุญาตแนะนำในฐานะที่มาอยู่ที่ลอนดอนตั้งแต่วันที่ถูกปฏิวัติและเข้าๆ ออกๆ เป็นประจำ
ผมมีเพื่อนที่ลงทุนที่นี่และประสบความสำเร็จก็มี ไม่ประสบความสำเร็จก็มี ก็เลยขอยกตัวอย่าง มีอยู่รายหนึ่ง แกอยู่ลอนดอนมาหลายสิบปี แกพยายามทำอะไรเล็กๆ แต่พอตัว ซื้อๆ ขายๆ โดยเลือกทำเลที่ดีที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น พอซื้อมายังขายไม่ได้ ก็ให้เช่ารอไป ใครขายแกซื้อ ใครซื้อแกขาย จนในที่สุดกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ จากไม่มีอะไรมามากนัก ส่วนเพื่อนอีกคน ไม่มีประสบการณ์ แต่มีเงินพอ มีคนเอาตึกใหญ่ๆ สวยๆ มาขายก็ซื้อโดยไม่เข้าใจธรรมชาติของการอยู่อาศัยของลอนดอนเลย เตรียมพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยและโรงแรม แต่บังเอิญไม่เป็นที่นิยม ก็เลยไม่ค่อยดีเท่าไร
การไปฟังเขามาอย่างเดียวไม่พอเพราะตัวเลขราคาคอนโด หรืออพาร์ทเม้นท์ที่นี่ราคามีตั้งแต่ตารางฟุตละ 1,000 ปอนด์ (50,000บาท) จนถึง 6,000 ปอนด์ (300,000บาท) หรือตารางเมตรละ 3,000,000 บาท
ถ้าเราเข้าใจผิดก็อาจเป็นว่าซื้อของมาถูก ฝันจะขายแพงๆ มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น จุดอ่อนของคนไทยคือ เรารู้เรื่องต่างประเทศน้อยและรู้ไม่ลึก ไม่ยอมศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อน ถ้าคิดจะลงทุนที่อยู่อาศัยในลอนดอน ต้องตั้งต้นที่ห้างสรรพสินค้า Harrods แล้วกางวงเวียนรัศมี 1 ไมล์ ย่านนี้ก็จะมี Hyde Park, Park Lane, Mayfair, Knightsbridge, Eaton Square, Wilton Crescent, Belgravia, Montpellier, Kensington เป็นต้น ย่านนี้ราคาไม่ค่อยตก เพราะคนซื้อไว้ เศรษฐีทั้งนั้น เมื่อเศรษฐกิจตก ก็ไม่ค่อยมีคนขาย พอเศรษฐกิจดี มีแต่คนมาซื้อ ย่านใหม่ที่กำลังมาแรง ก็จะเป็นย่าน Chelsea Harbour ครับ ถ้าย่านอื่นไกลกว่านี้ ราคาจะขึ้นไม่มาก เวลาเศรษฐกิจไม่ดี ราคาก็จะตก ขายต่อไม่คล่องเท่าที่ควร ส่วนย่าน City Center เป็นย่านที่ทำการธนาคาร ที่อยู่อาศัย โรงแรม ไม่มีคนนิยม ขายยาก ราคาไม่ดี
สรุปเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ ราคาขึ้นลง ขายยากขายง่าย ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง (Location) เพราะฉะนั้น ต้องท่องคาถาให้ดีครับ ว่าจะเป็นนักพัฒนาหรือนักลงทุน หรือซื้อไว้ใช้เองก็ตาม คาถานี้คือ Location Location and Location ครับ คาถาอื่นไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าครับ และก็ต้องรู้จริงกับคำว่า Location ด้วย ไม่ใช่ฟังเขามาโดยไม่ไตร่ตรองหรือใช้ความชอบแบบบ้าน โดยไม่เข้าใจสภาพแวดล้อมของ Location นะครับ ท่องไว้ครับ อย่าวอกแวก
Location Location and Location
36, 3 กันยายน 2556
วันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเที่ยวที่เมืองท่องเที่ยวระดับโลก คือเมือง Venice ประเทศอิตาลี ผมตั้งใจจะมาหลายครั้ง ก็ไม่ได้มาสักที พอดีเที่ยวนี้เพื่อนที่เป็นผู้นำแถบนี้ชวนมาก็เลยออกจากอังกฤษเร็วขึ้น 1 วัน เพราะเดิมตั้งใจจะไป Rome เมืองหลวงของอิตาลีในวันที่ 3 ออกจากลอนดอนตรงเข้าโรม แต่พอดีเลยได้แวะ Venice เสีย 1 คืนถือว่าคุ้มค่าจริงๆ
ได้ยินเขาพูดกันมานาน พอมาเห็นด้วยตา มาพูดคุยกับคนท้องถิ่นก็ได้อรรถรสดีมากกว่าไปฟังเขามา ที่เวนิสเป็นเมืองท่องเที่ยวติดทะเล มีคลองขนาดใหญ่ที่เป็นน้ำทะเลเข้ามา เขาก็เอาเสาปักเป็นช่องคลองขนาดใหญ่ จากทะเลเข้าไปถึงในเมือง ก็จะมีคลองรับต่อ เขาเลยใช้เรือกันหมด มีทั้งเรือ Taxi เรือพายที่เรียกว่า Gondola ที่มีคนร้องเพลงพาเที่ยวตามคลองต่างๆ มีร้านค้า ร้านอาหารโรงแรมเต็ม 2 ข้างทาง บางฝั่งก็จะมีที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นและคนต่างถิ่น ที่มาซื้อไว้เป็นแบบอพาร์ทเม้นท์ มีพิพิธภัณฑ์บ้าง เลยไม่เห็นรถวิ่งเลย เพราะไม่มีถนน แต่เขาบอกว่ามีเกาะอยู่หนึ่งเกาะยาวๆ มีรถวิ่งบ้างเพราะมีถนนในเกาะ ขณะที่เราสัญจรไปมาในคลอง จะไม่มีรถให้เห็นเลย ก็เป็นชีวิตที่ตื่นเต้นไปอีกแบบครับ
เรียกว่าเขาอนุรักษ์ตึกเก่าสภาพแวดล้อมต่างๆไว้ได้ดี จึงมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวจำนวนมาก ชีวิตที่นี่จึงอยู่กับคลองกับเรือจริงๆ ผมได้มีโอกาสไปทานกาแฟที่ร้านที่เขาเรียกว่าเป็นร้านกาแฟแห่งแรกในอิตาลีเลย เขายังอนุรักษ์ไว้ได้ดีครับ ถ้าประเทศไทยซึ่งต่อไปท่องเที่ยวจะเป็นรายได้หลักมากขึ้นอีก ก็คงต้องมียุทธศาสตร์ในการพัฒนาและอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวให้ดีครับ
ที่น่าสนใจคือ ท่ามกลางตึกเก่าๆ ที่มีศิลปะสวยงามแบบโบราณที่ถูกอนุรักษ์ไว้ เขาก็สอดแทรกวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่ของคนอิตาลีปัจจุบันเข้าไปได้อย่างผสมผสานได้ดี ผมได้ไป Shopping Fashion สมัยใหม่ของ Brand Name ทั้งหลายไปฝากครอบครัวและท่านนายกฯปูบ้าง ก็ไปเห็นแฟชั่นอิตาลีที่ออกใหม่ๆ แปลกตากว่าที่เห็นในลอนดอนเสียอีก ทั้งๆที่ผมเพิ่งมาจากลอนดอน
ท่านอาจชมความงามของเมืองเวนิสใน Instagram (http://instagram.com/thaksinlive) ผมก็ได้นะครับ ให้ถ่ายส่งไปหลายรูป พรุ่งนี้ผมจะไป Rome และจะเล่าไปให้ฟังใหม่ครับ
37, 5 กันยายน 2556
ก่อนออกจากกรุงโรม ขอเล่าเรื่องกรุงโรมเล็กน้อยครับ
ผมไปเดินซื้อของหลังจากว่างจากการประชุม พบว่าที่อิตาลีตอนนี้เขาห้ามใช้จ่ายเงินสดต่อครั้งเกิน 1,000 ยูโร(หรือ 40,000 บาท) และการซื้อของที่นี่โดยนักท่องเที่ยวก็สามารถคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ประมาณ 13-14% ปรากฎว่ารัฐบาลนึกว่านโยบายนี้จะได้ภาษีมากขึ้น มีการป้องกันการฟอกเงิน ไม่ให้ร้านค้ารับเงินสด ปรากฎว่าร้านค้าพอเห็นลูกค้าใช้เงินสดจำนวนเกินกว่า 1,000 ยูโร ก็ขอเจรจาว่า ถ้าจ่ายเงินสดไม่เอาใบเสร็จและไม่เอาภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)คืนได้ไหมแล้วเขาจะลดราคาให้ เช่น ซื้อของ 4,000 ยูโร ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ประมาณ 500 ยูโร เขาบอกเลยว่า คุณจ่ายเงินสดมา 3,500 ยูโร แล้วไม่ต้องเอาใบเสร็จ สรุปลูกค้าก็ไม่เสียหายอะไร ได้จ่ายเป็นเงินสดได้ แต่รัฐบาลเสียหายเพราะไม่ได้ภาษี
นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการออกนโยบายบางอย่าง ถ้าไม่ติดตามผลจะเห็นว่าบางครั้งเรานึกว่าฉลาดดีแล้ว ผลสุดท้ายก็เสียหาย ผมเจอหลายร้านคล้ายกัน ก็เลยถามเพื่อนชาวอิตาลี เขาเลยยืนยันว่าช่วงนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ รัฐบาลได้ภาษีน้อยลง นักท่องเที่ยวก็นิยมจ่ายเงินสดมากขึ้น แม้กระทั่งคนท้องถิ่นก็นิยมประหยัดภาษีโดยใช้เงินสด
มาถึงเมืองไทยบ้าง ท่านอธิบดีกรมสรรพากรคนก่อน เคยแนะนำว่าถ้าเราใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเขียนโปรแกรมให้ Match ภาษีซื้อและภาษีขายเข้าหากันจนครบวงจร เราจะได้ภาษีเพิ่มขึ้นอีกปีละ 400,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องเพิ่มภาษี เพราะเป็นการเก็บภาษีครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองครับ
พรุ่งนี้ขอเล่าเรื่องว่าผมมาทำอะไรที่กรุงโรมเพื่อพี่น้องคนไทยอย่างไร มีอะไรที่เป็นประโยชน์ในอนาคตบ้างนะครับ
38, 6 กันยายน 2556
เอาละครับวันนี้กลับมาดูไบแล้วขอเล่าให้ฟังว่าผม ไปอิตาลีทำไม ผมไปประชุมกับทีมงานที่ผมจ้างด้วยเงินส่วนตัวหลายตังค์เพื่อมาหาลู่ทางว่าจะ ใช้ศักยภาพคนไทยให้ผลิตของสู่ตลาดโลก โดยมีคุณภาพสูง มี design ที่ดี และในที่สุดมี Brand Name ระดับโลกเหมือนของอิตาลี และฝรั่งเศสได้อย่างไร หัวหน้าทีมคือ Peter Arnell ที่เป็นคนร่วมคิดและออกแบบสินค้า Samsung ยุคใหม่ รวมทั้ง Re-design ให้ McDonald's ทำการตลาดให้ DKNY และ Giorgio Armani
ทีมเขามีหลายคนครับ คนหนึ่งเป็นคนที่ Jack Welch อดีตประธานของ GE ส่งมาอยู่ที่จีนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ขณะนั้นจีนยังไม่ Boom เหมือนตอนนี้ เขาได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดของจีนมาตลอด คนต่อมาเป็นสถาปนิกที่สร้างตึกสำนักงานใหญ่ให้ร้านกาแฟชื่อดังที่มีร้านค้า ไปทั่วโลก Lavazza อีกคนเป็น Project Director ของ IBM ThinkPad และเป็นคนทำหลักสูตร Creativity ให้กับพนักงานของ Samsung ร่วมกับ Peter ตอนรับงาน Samsung มา
อีกคนก็น่าสนใจ เป็นคนออกแบบรถ Ferrari และออกแบบรถไฟ Eurostar รุ่นใหม่ที่กำลังจะออกมาเร็วๆนี้ ถือว่ามีทีมงานที่ดีมาก และเขามีเพื่อนที่อาจจะเข้ามาช่วยอีกคนถ้าเราจะใช้ในอนาคต คือ Frank Gehry ซึ่งเป็นสถาปนิกมือหนึ่งของโลกซึ่งคู่แข่งคือ Norman Foster
Frank กำลังออกแบบสำนักงานใหญ่ให้กับ Zuckerburg คือสำนักงานใหญ่ของ Facebook นั่นเอง ส่วน Norman กำลังออกแบบสำนักงานใหญ่ใหม่ให้กับ Apple ครับ
ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ Frank จะมาพบคนไทยที่สถานี Voice TV ที่ Voice Space พูดถึงเรื่องงานออกแบบระดับโลกของเขา โดยจะพูดคุยกับอาจาย์พันธ์ศักดิ์ วิญญูรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของรัฐบาล และ Peter Arnell ด้วยครับ Frank ออกแบบ Museum ที่ดังมากคือที่เมือง Bilbao ประเทศสเปนซึ่งมีคนไปชมมาก เปลี่ยนเมืองที่มีแต่ขยะ ยาเสพติด และมีการยิงกันประจำให้เป็นเมืองท่องเที่ยวไปเลย ตอนนี้ก็ออกแบบ Museum ให้เมือง Abu Dhabi ซึ่งกำลังก่อสร้างเกือบเสร็จแล้ว เขาอาจจะมาทำงานชิ้นสุดท้ายในชีวิต เพราะอายุ 85 แล้วให้กับประเทศไทยครับ
สรุปว่าการจ้างทีมนี้เข้ามาช่วยประเทศไทย ก็เพราะว่าเราจะหากินแบบทุกวันนี้ต่อไปจะยากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องเตรียมตัวกันใหม่ โดยเฉพาะ SMEs และ OTOP รวมทั้งเด็กไทยที่กำลังเรียนแล้วจะเป็นอนาคตของประเทศให้พร้อมเข้าสู่ Creative Economy หรือเศรษฐกิจที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ทำมาหากินนั่นเอง
จากการประชุมกันเราพบว่า ถ้าทำอะไรก็ตามให้ได้มาตรฐานโลกทั้งคุณภาพและ design แล้ว ของไทยทำขายกันไม่ทันเลยครับ และผมให้คิดเรื่องการส่งเสริมครัวไทยสู่ครัวโลกต่อ รวมทั้งความปลอดภัยของอาหารที่เราผลิตทุกขั้นตอนที่เรียกว่า From Farm to Table เลย โดยให้คุยกับบรรดาสำนักรับรองมาตรฐานทุกประเภทที่มีอยู่ทั่วโลก ให้เราได้รับมาตรฐานจะได้ช่วยขายให้ได้ราคาด้วยครับ
39, 12 กันยายน 2556
ไม่ได้คุยกันมาหลายวัน ผมกลับมาถึงดูไบตั้งแต่วันที่ 5 พอมาถึงก็ไม่ได้พักเลยมีแขกทั้งไทยและแขกจริงๆ มาพบเยอะมาก บางวันเจอไป 6 รายการ เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งอ้วนเพราะถ้าไม่ใช่ช่วงมื้อหลักก็ต้องมีกาแฟกับของว่าง วันที่ 16 นี้จะออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปอินเดีย แล้วก็จะไปแถบบ้านเราต่อ และอยู่แถบบ้านเรานานหน่อยเพราะผมต้องไปพูดที่กรุงโซล เกาหลีใต้ วันที่ 15 ตุลาคมครับ เพราะฉะนั้นหนึ่งเดือนเต็มทางเอเชียก็จะพยายามพบปะผู้นำทั้งภาคธุรกิจและการเมืองเพื่อ update ตัวเองมาเล่าสู่พี่น้องฟัง
วันก่อนได้คุยกับเพื่อนที่นี่ เขาเล่าให้ฟังว่า อเมริกาเขาก็บ่นตัวเองว่าปรับตัวช้า โดยเฉพาะเรื่องการต่างประเทศ เขาเล่าว่าเขามีเจ้าหน้าที่ทำงานด้านการต่างประเทศทั้งหมดรวมทั้งของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอื่น เช่น CIA พาณิชย์ ในต่างประเทศ มีจำนวนน้อยกว่าทหารดุริยางค์ของอเมริกาเองเสียอีก ผมฟังแล้วก็ทั้งตกใจทั้งขำ เขาพูดต่อไปว่า เจ้าหน้าที่พาณิชย์ของอเมริกาที่มีอยู่ในอาฟริกาทั้งทวีปมีไม่ถึง 10 คน แต่จีนมีหลายสิบคน ทั้งๆ ที่อาฟริกาตอนนี้เริ่มมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็น ก๊าซ ทองคำ ทองคำขาว ถ่านหิน เพชร ยูเรเนียม Rare Earth
ที่ผมเล่ามาให้ฟังก็เพื่อจะบอกว่าประเทศยิ่งใหญ่อย่างอเมริกาก็ยังตระหนักว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง หรือที่ผมเคย quote คำพูดของ Jack Welch อดีตประธานของ GE บริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่พูดว่า Change before you have to หรือเปลี่ยนก่อนที่คุณจำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนเพราะจวนตัวเลยต้องเปลี่ยน จะเป็นการเปลี่ยนแบบไม่มียุทธศาสตร์ ไม่ได้วางแผนที่ดี จะเป็นยการเปลี่ยนที่เสียเปรียบ เสียหาย เพราะฉะนั้นทุกองค์กร เริ่มต้นที่เล็กสุดคือครอบครัว บริษัท หรือประเทศต้องตื่นตัวตลอดเวลาว่าอะไรกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน จะมีผลกระทบต่อองค์กรของเราหรือเปล่า หรือถ้าเราปรับตัวรองรับทันเราจะได้ประโยชน์ไหม เพราะสังคมปัจจุบันมีพลวัต (Dynamism) สูงกว่าสมัยก่อน เพราะระบบ Internet ระบบสื่อสาร Social media เพราะฉะนั้นเราจะทำตัวเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้น อะไรก็ช่าง เราจะลำบากและสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันทุกวัน
เราไม่มีเวลาชี้นิ้วใส่กัน เราต้องมาเสนอความคิดสร้างสรรค์ต่อกันให้การเปลี่ยนแปลงมีได้ตลอดเวลาและทันโลกทันกาลครับ ห้ามอยู่ไปวันๆ เพื่อรอวันหมดลม เราต้องอยู่สูดลมที่บริสุทธิ์เป็นประโยชน์ต่อเราและองค์กรของเราให้ได้ทุกวัน และก็อยู่ให้เท่ เป็นที่เคารพของคนอื่น องค์กรอื่น ประเทศอื่นครับ
ขอให้ประเทศไทยมีสันติสุขและรุ่งเรืองครับ
เชิญติดตามตอนต่อไป : เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 40, 41, 42, 43, 44, 45,
