ชีวิตผันผวน..ฉันต้องมาเป็น "นักศึกษาพยาบาล"
By: sobasfia Posted on 16 Jun 2009 17:30
ไม่รู้เป็นไงมาไงถึงได้มาเรียนพยาบาล ก็ตอนแรกตั้งเป้าไว้ว่าฉันจะต้องเรียนเภสัชอย่างเดียว และอาชีพพยาบาลเนี่ยไม่เคยมีในหัวสมองเลย
แต่พอตอนเอ็นเสร็จคะแนนออกมาก็รู้ตัวละว่ายังไงก็ไม่มีทางเรียนเภสัชได้แน่นอน จะให้เรียนเอกชนรึก็ไม่ไหวจ่ายค่าเทอมแน่ๆ ดูๆคณะไป..เลือกไปเลือกมา ทั้งนักกายภาพบำบัด สาธารณสุข รังสีเทคนิค คณะวิทย์ทั้งหลาย ขนมาเกือบหมดแล้วที่บ้านก็ยังไม่พอใจ แล้วตกลงจะให้ฉันเรียนอะไรเนี่ย
แล้วก็มีพี่ที่เคารพซึ่งเป็นญาติกันนี่เองเสนอพยาบาลขึ้นมา โอ้โห..พูดสรรพคุณมาซะน่าเรียนเชียว คุณแม่ท่านเลย เรียนแหะลูก ยังไงคะแนนก็ถึงไม่ใช่หรอ ติดแน่ๆ เราก็อืมก็ได้ ก็ได้ เรียนเพื่อแม่ (กตัญญูซะไม่มี)
เมื่อวันประกาศผลมาถึง......ติดค่ะ ติด..พยาบาล ที่บ้านดีใจกันใหญ่ แล้วสุดท้ายฉันก็ต้องมาเรียนพยาบาล ห่างบ้านมาซะไกล คิดถึงบ้านแทบตาย
มาเรียนเทอมแรกก็เจอวิชาสุดโหด นั่นก็คือ Anotomy กับจิตวิทยา เรียนจนจะอ้วกออกมาเป็นตัวหนังสือเลย แต่ก็ผ่านมาได้ เกรดออกมาก็ดีนี่หว่า ค่อยโล่งใจหน่อย
พอเทอมสองก็เจอวิชาที่โหดขึ้นมาอีก เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเป็นพยาบาลซะแล้ว จะให้เราไปบริการคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติโกโหติกาเราเนี่ยนะ เหมือนจะทำไม่ได้เลย รับไม่ได้อะ
แล้วทีนี้ก็ความคิดนางมารร้ายก็บังเกิดขึ้น ถ้าฉันเอ็นใหม่ละ ฉันก็จะได้ไม่ต้องเป็นพยาบาล โฮะ โฮะ ความคิดช่างดีจริงๆ แต่บอกที่บ้านไม่ได้แน่ มีหวังโดนว่าตายเลย
สุดท้ายเราก็เอ็นใหม่ แต่ดูเหมือนอนาคตจะไม่เป็นใจ สงสัยคงอยากให้เป็นพยาบาลต่อไปแน่ๆ ก็เพราะดันไปลงคณะผิดนะซิ ตานี้จะทำไงละ ผลออกมาคือเอ็นติดค่ะ แต่ดันติดคณะที่ไม่ต้องการ ถึงยังไงก็ดีกว่าเป็นพยาบาลไปตลอดชีพว่ะ
ทีนี้ก็เหลือทำหน้าทำตาอ้อนวอนที่บ้านให้สงสารอย่างเดียว เค้าจะได้ให้เราเรียน แฮะ แฮะ แต่ไอ้ที่หวังไว้น่ะดันผิดคาด กลับกลายเป็นว่าคนที่ถูกอ้อนวอนให้เรียนเป็นตัวฉันเอง
ไอ้เรารึก็อุตส่าห์ร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด แต่มาเจอไม้เด็ดคุณแม่ จนสุดท้ายฉันก็ต้องกลับมาเรียนพยาบาลเหมือนเดิม
ด้วยเหตุผลที่ว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีเกียรติ เชิดหน้าชูตาพ่อแม่ แล้วไอ้ที่เราเอ็นติดนะ ใครๆเขาก็เรียนได้ สู้พยาบาลไม่ได้ซักนิด แล้วที่สำคัญคือ เสียดายเงินนะ ก็ส่งมาเรียนปีนึงเสียค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าอยู่ ไปเกือบแสนแล้ว จะให้เสียไปฟรีๆก็กระไรอยู่ ยังไงๆก็ทนเรียนไปให้จบอีกสามปีละกัน
พูดอย่างนี้เอาเปรียบกันชัดๆเลย ไม่สงสารเราเลยรึไง ก็คนมันไม่อยากเรียนอะ แล้วจะให้เรียนอีกหรอ แต่ถึงยังไงสุดท้ายก็ต้องยอมรับ กลับมาเรียนพยาบาลเหมือนเดิม...
ปีหนึ่ง ภาค 1 หอพักนักศึกษา
By: Mimi Mini Posted on 7ปีที่แล้ว
การได้ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยได้เป็นสิ่งที่ทุกคนมีความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ภูมิใจเลย กลับเสียใจ ที่ต้องมาเรียนคณะที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเรียน เราต้องทนกับความรู้สึกไม่อยากของตัวเอง ต้องต่อสู้กับความคิดที่มันต่อต้านในวิชาชีพมาตลอด
แต่เวลาผ่านไปไม่เพียงกี่สัปดาห์ ความคิด และความรู้สึกที่เคยมีมาก็เปลี่ยนไป เรากลับมีความภูมิใจที่ในอนาคตเราจะได้เป็นคนดูแล และช่วยเหลือผู้อื่น รู้สึกเหมือนเป็น นางฟ้า ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา สิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่เรามีเพื่อนที่ดี มีอาจารย์ที่ดี ทำให้ความคิดทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เราก็เลยเริ่มมีความสุขกับการเรียนอย่างน่าแปลกใจ
เราต้องจากบ้านมาตั้งไกล (ทุกคนบอกว่าไม่ไกลเลย จากศาลายาไปแจ้งวัฒนะมันใกล้นิดเดียว) ต้องไปอยู่หอ จากคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเราเป็นคนที่รักครอบครัวมาก ต้องปรับตัว พยายามทำใจอยู่หอให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ยากยิ่งกว่าเรื่องเรียนเสียอีก จนถึงวันนี้แล้ว ก็ยังอยู่หอจนครบสัปดาห์ไม่ได้เลย อยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็กลับ จนเพื่อนๆที่อยู่ต่างจังหวัดอิจฉากันทั้งนั้นที่บ้านเราใกล้นิดเดียวเอง
หอพักนักศึกษาไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนที่บ้านเลย ห้องนอนก็คับแคบ นอนอัดกันตั้ง 4 คน ห้องน้ำก็ต้องใช้ร่วมกับคนอื่น ตายแล้ว!! เราจะอยู่ได้เหรอ
วันแรกที่เข้าหอ รู้สึกว่าทำไมมหาวิทยาลัยใจร้ายจัง ห้องพักทำไมมันแคบอย่างนี้นะ ขอบรรยายเรื่องห้องพักนิดหน่อย คือ
ห้องนอนจะเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กมาก ประมาณไม่ได้ว่าเท่าไหร่ พอเปิดประตูไป ก็จะเห็นเตียงนอน 2 ชั้น อยู่ 2 ฝั่งของประตู เตียงนอนเป็นไม้ดูเก่าๆ โทรมๆ ติดกับเตียงนอนก็เป็นตู้เสื้อผ้าขนาดครึ่งหนึ่งของตู้ทั่วๆไป แถมยังมีกลิ่นเหม็นอับอีกต่างหาก
ติดกับตู้เสื้อผ้าก็เป็นโต๊ะเขียนหนังสือ และติดกับโต๊ะเขียนหนังสือก็เป็นผนังห้อง ที่ว่างของห้องก็มีแค่ทางเดินตรงกลางเท่านั้น ซึ่งพื้นที่ตรงกลางระหว่างเตียงทั้ง 2 ข้าง มีขนาดเพียงคนเดินสวนกันได้ 2 คนเท่านั้น ประมาณว่าถ้าห้องมีฝุ่นก็ใช้ไม้กวาด กวาดสัก 2 ครั้งก็สะอาดแล้ว (น่าจะพอเดาออกว่าห้องเล็กแค่ไหน)
ห้องพักก็เล็ก แถมยังต้องมาอยู่กับคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน แถมยังเป็นเพื่อนคนละคณะกันอีก โอ้ ทำไมชีวิตน่าเศร้าจัง ขอเรียกเพื่อนร่วมห้องว่า รูมเมท ซึ่งเป็นคำที่รู้กันทั่วไป เราได้เมทที่เรียนพยาบาลด้วยกันซึ่งอยู่คนละคณะ 1 คน เภสัช 1 คน และสาธารณสุข 1 คน สรุปว่าห้องนี้มีพยาบาล 2 คน
ขอบอกก่อนว่ามหาวิทยาลัยของเรามีแพทย์ 4 คณะ ได้แก่ แพทย์ศิริราช(SI) แพทย์รามาธิบดี(RA) แพทย์สถาบันพระบรมราชน(PI )และแพทย์กรุงเทพฯและวชิรพยาบาล(BM) พยาบาล 2 คณะ ได้แก่ พยาบาลศิริราช(NS) และพยาบาลรามาธิบดี(NR)
การที่ห้องใดห้องหนึ่งมีแพทย์อยู่ด้วยกัน หรือพยาบาลอยู่ด้วยกัน จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะว่าเราจะเรียนบางวิชาด้วยกัน ตัดเกรดด้วยกัน การไซโคลกันก็จะเกิดขึ้น ซึ่งเราก็โชคดีที่เรื่องนี้ไม่เกิดกับเรา
ด้วยความโชคร้ายของเรา ที่จะต้องมาอยู่ชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นที่เราขอเรียกว่าอนาถมาก เรามีคอนเซปของหอเราว่า "น้ำไม่ไหล ไฟดับ โทรศัพท์เสีย" ครบทุกความต้องการที่ไม่อยากให้เป็น
วันไหนตื่นสายหน่อย เราก็จะได้อาบน้ำด้วยความทุกข์ใจอย่างยิ่ง สายน้ำจากฝักบัวค่อยๆไหลย้อยไม่เกิน 500 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อวินาที กว่าจะอาบน้ำเสร็จแทบตาย แต่เราก็ยังพอมีวิธีที่ทำให้น้ำไหลแรงขึ้นหน่อย คือ การนั่งอาบ หากเราหยิบฝักบัวลงมานั่งอาบ จะช่วยให้น้ำไหลแรงขึ้นมาประมาณ 1.5 เท่าของการยืนอาบในท่าปกติ แต่วิธีนี้ก็ไม่ได้ผลตลอด บางครั้งขนาดจะนอนอาบกันเลยก็มี
เรื่องน้ำเป็นเรื่องที่อนาถที่สุดของหอเราจริงๆ มีครั้งหนึ่ง เราเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวด้วยความหรรษา หารู้ไม่ว่าภัยใกล้ตัวกำลังจะเกิดขึ้น เรากำลังจะหยิบฝักบัวขึ้นมาทำความสะอาด และแล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น น้ำ !! น้ำไปไหนอ่ะ ตายแล้ว น้ำไม่ไหล วันนั้นก็เลยทำให้เราปวดเข่าทั้งวันเลย เพราะต้องนั่งยองๆ อยู่ท่านั้น รอจนกว่าน้ำจะไหล โอ๊ย!! จะบ้าตาย
ขอจบเรื่องน้ำไว้แค่นี้ก่อน ต่อไปเรื่องไฟบ้าง เวลามันจะดับก็ดับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนเลย ดับทีก็น้าน นาน ยิ่งกว่าสวัสดี One-to-call อีกน่ะ ร้อนก็ร้อน เหงื่อไหลแรงยิ่งกว่าน้ำที่หออีก ต้องทนทุกข์ทรมานกันเป็นยามสองยาม
แต่วันที่ไฟดับแล้วเราเซ็งมากที่สุดก็คือ คืนก่อนวันเกิดสุดที่รักของเรา กำลังตั้งใจเขียนการ์ด แล้วก็ห่อของขวัญให้เขาอยู่ดีๆ ไฟก็ดับอีก โชคดีที่เมทเรามีไฟฉายที่ไม่ค่อยมีแสงไฟสักเท่าไหร่ เราก็ใช้ไฟอันน้อยนิดที่มีอยู่ส่อง กว่าจะห่อเสร็จลูกตาจะมากองรวมกันอยู่แล้ว เฮ่อ...
น้ำไปแล้ว ไฟก็ไปแล้ว ต่อไปก็คงเป็นโทรศัพท์ มันก็ไม่เชิงเสียหรอก แต่มันโทรไม่ค่อยติด เวลารับแล้วก็จะไม่ได้ยินคนพูด ถ้าเป็นตอนกลางวันก็ไม่เท่าไหร่หรอก ไม่ได้รำคาญอะไรมากมายเวลามันดัง แต่ตอนกลางคืนสิ เซ็งอีกแล้ว โทรศัพท์ดังนานมาก ไม่มีคนรับซะที พอเราไปรับก็ไม่มีเสียงคนพูดซะงั้น แล้วห้องเราก็อยู่ตรงโทรศัพท์พอดีเลย ต้องทนฟังเสียงโทรศัพท์ดัง อันนี้ยังพอทน แต่ต้องมานั่งฟังคนคุยโทรศัพท์สิ แย่มากเลย ไม่เข้าใจว่าการคุยโทรศัพท์เบาๆ เป็นส่วนตัวเนี่ยมันยากตรงไหนกันนะ
รู้สึกว่าจะบ่นถึงข้อเสียของหอพักมากเกินไปแล้ว ขอกล่าวถึงข้อดีบ้างดีกว่า
มิตรภาพที่ดี ที่เราไม่คิดว่าจะได้รับจากใครเลย ก็มาจากการอยู่หอพักเนี่ยแหล่ะ เราได้เพื่อนที่ตอนนี้คิดว่าดีที่สุดในชีวิตแล้ว เค้าก็คือรูมเมทสุดที่รักของเรา เค้าเป็นคนๆเดียวที่คอยรับฟังเราด้วยความเข้าใจ (นอกจากครอบครัวนะ) ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะร้ายจะดี เราจะเห็นเค้ายืนอยู่ข้างเราเสมอ เวลาเราป่วย ก็มีเค้าดูแล เราตื่นสายเค้าก็คอยปลุก คอยต้มโจ๊กให้กินตอนเช้า ต้มมาม่าให้ตอนกลางคืน
แต่ก็ไม่มีอะไรที่เราจะประทับใจเค้ามากไปกว่าความเข้าใจและสนิทใจ เราไม่เคยมีความลับอะไรต่อกันเลย ไม่พอใจกันก็บอกกัน คุยกันได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ เราไปวีนแตกที่ไหนมา เค้าก็จะเป็นคนที่ทำให้เราเย็นลงอย่างง่ายดาย ส่วนเราก็เป็นคนที่เค้าสามารถเล่าให้ฟังได้ทุกๆเรื่อง ขนาดเป็นเรื่องที่เค้าไม่เคยบอกใครแม้กระทั่งเพื่อนที่คบกันมา 6 ปี แต่เค้าก็มาระบายความในใจให้เราฟัง
อยู่กับเค้าตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราได้ร่วมหัวเราะ ร่วมร้องไห้ ร่วมร้องเพลง ร่วมกันตื่นสาย และอื่นๆอีกมากมาย จนนึกไม่ออกแล้วว่าเราทำอะไรร่วมกันบ้าง จำได้แต่เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม คราบน้ำตา และความรักความหวังดีที่เรามีให้ต่อกัน มันประทับใจและยากที่จะลืมเลือนจริงๆ
ไม่ได้มีเพียงแต่รูมเมทเท่านั้น เราก็ยังได้มิตรภาพจากเพื่อนร่วมหอด้วยกันอีกนะ เวลาไปอาบน้ำก็ได้คุยได้รู้จักกับเพื่อนคณะอื่นมากขึ้น สนุกมาก เวลาอาบน้ำคนที่รอก็จะคอยลุ้นว่าใครจะอาบเสร็จก่อนกัน บางครั้งก็จะตะโกนบอกคนในห้องน้ำประมาณว่า ใครสวยรีบๆอาบเร็ว ไม่นานนักก็จะมีคนออกมาก่อนแล้วบอกว่าเราสวย
เรามั่นใจว่าทุกคนที่ได้อยู่หอพักก็จะต้องมีความประทับใจแบบนี้แหล่ะ ก็อยากจะให้ทุกคนเก็บความประทับใจเหล่านี้ไว้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบนี้อีก
ปีหนึ่ง ภาค 1 วิชาเรียนเทอม 1
By: Mimi Mini Posted on 7ปีที่แล้ว
ทีแรกคิดว่าเรียนพยาบาลก็ดีนะ จะได้หลีกหนีวิชาที่เราไม่ค่อยถนัด พวกเลข ฟิสิกส์เนี่ย คงจะไม่ต้องเรียนอีกแล้ว แต่ที่ไหนได้ เราก็ยังต้องเจออยู่ดี โชคดีที่เรียนแล้วรู้สึกว่ามันง่ายกว่าตอน ม.ปลาย หรือว่าเรามีติวเตอร์ส่วนตัวดีก็ไม่รู้ โฮะๆๆ
แคลคูลัส ให้ตายเถอะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะต้องมาเรียนด้วย ตอนเรียน ม.ปลาย ก็ไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ก็เลยกลัวๆว่าจะไม่รอด ทำไปทำมามันก็ไม่ยากเท่าไหร่นี่หน่า ก็แค่ diff เป็น intigrade เป็น แล้วก็ใช้พวก chain rule, โลปิตาล แค่นั้นแหละ
อาจารย์ก็ไม่ได้ออกโจทย์พลิกแพลงอะไรมากมาย มีเขียนกราฟบ้าง แล้วตอนสอบ ก็แสดงวิธีทำอย่างเดียวเลย เราชอบการเขียนตอบอยู่แล้ว คิดว่ามันได้คะแนนง่ายกว่าเป็นตัวเลือก ถ้ามีความละเอียดถี่ถ้วนหน่อย การได้คะแนนดีๆก็ไม่ยาก จำได้ว่าเราตกมีน ตอนมิดเทอม ดีที่ปลายภาคทำได้ดีพอควร แต่ตกมีนน่าเกลียดมากเลย คะแนนเนี่ยไม่ต่ำเลยนะ แต่มีนมันสูงเกิน เพราะข้อสอบมันง่าย เราพลาดเองเต็มๆ
ฟิสิกส์ เหตุใดหนอพยาบาลจะต้องเรียนฟิสิกส์ เป็นคำถามที่อยู่ในใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ดีวิชานี้ช่วยเราได้เยอะเลย ก็อีกนั่นแหละ ข้อสอบง่ายกว่าตอนเอ็นทรานซ์อีก คนติวก็เก่ง เราก็เลยได้คะแนนดีไปด้วย น่าเสียดายที่ตอนปลายภาคเราประมาทเกินไป ทำข้อสอบไม่ครบทุกข้อ แบบว่ามั่นใจเกินเหตุ ทำแต่ข้อที่อยากจะทำ กะว่าคะแนนที่ทำก็พอที่จะได้ A แล้ว เป็นไงล่ะ ได้ B+ เลย ยังเสียดายไม่หายเลยนะเนี่ย
เรียนฟิสิกส์ตอนนี้ก็เหมือนกับเรียน ม.ปลาย ซ้ำอีกรอบ เอาเนื้อหาที่เราเรียน ม.ปลาย 3 ปี มาเรียนให้จบภายในเทอมเดียว แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะ เอามาเรียนเฉพาะอันที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพด้วย โจทย์ก็จะเป็นแนวแบบประมาณว่า คนไข้ขาหัก บอกว่าตกลงมาจากต้นไม้ด้วยความเร่ง เท่านี้ ต้นไม้สูงเท่านี้ แล้วคนไข้ขาหักจริงๆ หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับวิชาชีพเราตรงไหน แต่เค้าว่าเกี่ยวก็เกี่ยวแหละ
เคมีทั่วไป วิชานี้สนุกมากกกก อาจารย์สอนดีมากๆๆ ขนาดเรียนไปด้วยหลับไปด้วยยังรู้เรื่องเลย แต่ข้อสอบก็ไม่ได้ง่ายมากนะ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ถ้าขยันอ่านหนังสือก็ทำได้ เนื้อหาก็ของ ม.ปลาย อีกนั่นแหละ แต่จะยากกว่าเล็กน้อย อาจารย์จะคัดเฉพาะเรื่องสำคัญๆมาสอน ที่เน้นๆก็พวกพันธะเคมี จลศาสตร์ ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ ประมาณนี้แหล่ะ จำไม่ค่อยได้แล้ว มันผ่านมาแล้วก็ทิ้งมันไปเลย
ภาษาอังกฤษ ทำเราเบื่อมาก เราชอบ speaking แต่ว่าได้เรียนแต่ reading อย่างเดียวเลย ครึ่งเทอมแรกก็มีแต่ท่อง prefix suffix ซึ่งอยากจะบ่นว่า ที่เรียนมาไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย มันไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน สู้ตอนเรียน ม.ปลาย ก็ไม่ได้ ได้พูด ได้อ่าน ได้เขียน ได้นำไปใช้ในชีวิตจริงๆ ได้คุยกับชาวต่างประเทศจริงๆ มีการไปสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่ airport ด้วย สนุกจะตาย แต่อังกฤษ มหาลัยเนี่ย ไม่สนุกเลย ไม่ชอบอย่างแรง
Sport มีให้เลือกหลายกีฬา เราเลือกเรียนลีลาศ เพราะมันสนุกอีกนั่นแหละ ได้เกรดไม่ยากเลย แค่เต้นถูก figure ก็พอแล้ว ท่าทางไม่ต้องสวยมากก็ได้ จังหวะที่อาจารย์เอามาสอน ก็ใช้ได้จริงๆเลย ออกงานสังคมได้แบบไม่ต้องอายใคร
ชีววิทยา จำสุดๆ อันนี้หนักกว่าทุกวิชาเลย เพราะต้องจำอย่างมากมายมหาศาลจริงๆ ทุกเรื่องที่เรียน ม.ปลาย มา เอามาเรียนใหม่ มาจำใหม่หมด มีเพิ่มความละเอียดเข้าไปอีก คิดดูเรียน 3 ปี ก็จำไม่หมดแล้ว อันนี้ต้องมาจำทั้งหมดภายใน 3 เดือน พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก ใครขี้ลืมแบบเรามีหวังตายแหงๆ แต่เราไม่ตายนะ
ฟิสิกส์ lab สนุกมากที่สุดเลย เป็นวิชาที่เรารู้สึกว่าได้เล่นจริงๆ แล้วก็เล่นอย่างมีสาระ ทำให้เรารู้ว่ากว่าจะมาเป็นกฎ เป็นทฤษฎีที่เราเรียน เราท่องมาเนี่ย มันมีที่มาอย่างไร อาจารย์ก็ใจดี ได้เจออาจารย์หน้าใหม่ๆตลอดเลย เพราะอาจารย์คนนึงก็สอน lab นึง ที่สำคัญอาจารย์ไม่แก่ ไม่เป็นด๊อกเตอร์ พูดจาเข้าใจกันง่าย รู้เรื่องดี เหมือนเป็นพี่มาสอนน้อง สบายๆ ไม่เครียด ก็จะได้ทดลองเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ความหนืด เลนส์ มัลติมิเตอร์ และอื่นอีกมามายที่จำไม่ได้ แต่ข้อย้ำว่าสนุกจริงๆ
ชีววิทยา lab ส่องกล้องจุลทรรศน์กันจนตาเขไปข้างนึงเลย ก่อนเรียนต้องอ่านมาก่อนเพราะจะมี quiz ทุกครั้งที่เข้าเรียน อาจารย์ดุ แล้วก็ดูเครียดมากเลย ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ถ้าอาจารย์ดูใจดี เหมือน lab physics ก็คงจะดี แล้ว quiz ก็ยากด้วย ต้องท่องหนังสือมา ไม่ได้เกี่ยวกับ lab ที่ทำไปซักเท่าไหร่หรอก เราว่า quiz มันน่าจะเกี่ยวข้องกับ lab ที่เราทำจะดีกว่านะ นักศึกษาจะได้ตั้งใจทำ lab เพราะบาง lab เราทำกับเพื่อนแค่ 2 คน ในขณะที่มีเพื่อนร่วมกลุ่มเป็น 10 เลย คนอื่นมัวแต่อ่านหนังสือเตรียม quiz แล้วก็รอลอก report ของเรา ส่วนเราก็ทำไปเถอะ ตอน quiz ก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะบางทีก็ยังไม่ได้อ่านมา ทำไงได้วิชาเรียนมันเยอะนี่หน่า
บทนำสู่วิชาชีพพยาบาล จะเป็นการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก หรือเรียกสั้นว่า PBL เข้าเรียนเป็นกลุ่มย่อย อาจารย์จะให้โจทย์สถานการณ์มา แล้วให้เราวิเคราะห์ หาสมมุติฐาน กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้แต่ละคนไปค้นคว้าหาความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน สนุกดีได้พูด ได้แสดงความคิดเห็น มีการเรียนรู้ที่จะนำกระบวนการกลุ่มไปใช้จริง จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาประจำกลุ่มคอยช่วยเหลือเวลาเราเปิดและปิดปัญหา เนื้อหาที่เรียนก็จะเกี่ยวข้องกับสุขภาพ ทีมสุขภาพ ประวัติการพยาบาล เป็นต้น นอกจากจะเรียนกลุ่มย่อยแล้ว ก็มีการเรียนกลุ่มใหญ่ด้วย ก็เรียนแบบปกติทั่วไป คือ อาจารย์บรรยาย นักศึกษานั่งฟัง ส่วนเราก็นอนฟัง บางทีก็นอนหลับ อย่าเอาเยี่ยงอย่างนะ
นี่ก็เป็นวิชาที่จะต้องเรียนในปี 1 เทอม 1 แต่ละวิชาก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของพวกเราเลย ถ้าขยันอ่าน ขยันเรียน และหมั่นทบทวน A ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อาจจะมีบางวิชา ที่สถาบันอื่นเรียนแตกต่างไปจากนี้บ้าง แต่ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เอาเป็นว่าสู้ๆ
เพียงสนุกกับการเรียน
เพียงขยันอ่านเขียน
เพียงหมั่นทบทวนบทเรียน
เพียงแค่นี้ ก็ได้ A แล้วจ้า เย้ๆๆๆๆๆ
ขอให้ได้ A กันเยอะๆ นะจ๊ะรุ่นน้องปีนี้
"พยาบาล..เส้นทางแห่งความเสียสละ"
นาทีแห่งความเจ็บปวดด้วยโรคร้ายหรือความป่วยไข้ หรือนาทีเป็นนาทีตายแห่งชีวิตของผู้คนจากอุบัติเหตุเภทภัย แสงสว่างจากเครื่องแบบสีขาว คือความหวังที่จะต่อลมหายใจ ความหวังนั้นไม่ได้มีเพียงแพทย์เท่านั้น เพราะการเยียวยารักษาพยาบาลความป่วยไข้ ผ่าตัด หรือช่วยชีวิต จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีบุคคลสำคัญที่ เรียกว่า "พยาบาล"
"พยาบาล" เป็นได้ทั้งชายและหญิง เพียงแต่ควรจะสูงกว่า 150 ซ.ม. และน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 40 กิโลกรัม ไม่เช่นนั้น การดูแลช่วยเหลือคนไข้อาจทำได้ไม่สะดวกและไม่มีประสิทธิภาพ เพราะมีหน้าที่หลักสำคัญ คือ การดูแลช่วยเหลือคนไข้ในทุกๆเรื่อง เป็นทั้งแขนขาเวลาที่คนไข้ไม่สามารถขยับเขยื้อนเองได้ เป็นเหมือนปากเวลาที่คนไข้พูดไม่ได้ ดื่มน้ำ หรือกินข้าวเองไม่ได้ และเป็นเหมือนดวงตา เวลาที่คนไข้มองไม่เห็น ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนอวัยวะต่างๆของหมอ เพราะมีหน้าที่กระทำการทุกอย่างตามที่แพทย์วินิจฉัย ตั้งแต่ฉีดยา ทำแผล เจาะเลือด ให้น้ำเกลือ ฯลฯ จนถึง ปั๊มหัวใจ เพื่อรักษาชีวิต
"พยาบาล" คือผู้ที่มีวิชาความรู้ในการดูแลมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่ก่อนเกิด คือเมื่อแม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งคลอดลูก เรียนรู้วิธีการดูแลทารกแรกเกิด ดูแลเด็กจนเติบโต ดูแลผู้ใหญ่ในฐานะผู้ป่วย ไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ในยามที่เรียกว่า ไม้ใกล้ฝั่ง จนกระทั่งลมหายใจเฮือกสุดท้ายแห่งชีวิต จึงจะพ้นจากภาระหน้าที่ความรับผิด- ชอบของผู้ที่ได้ชื่อว่า "พยาบาล" และ
"พยาบาล" คือผู้ที่ต้องสลับผลัดเปลี่ยนกันปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย คลอดลูก อุบัติเหตุ อาชญากรรม ไปจนถึงวินาศภัย เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา "พยาบาล" จึงต้องพร้อมเสมอสำหรับการทำหน้าที่ในห้องฉุกเฉิน ห้องคลอด และห้องผ่าตัด นอกเหนือจากการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคนป่วยที่ต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทั้งวันทั้งคืน
"พยาบาล" จึงไม่ใช่เพียงการประกอบอาชีพ เพื่อการมีรายได้ แต่ยังเป็นวิชาชีพ ที่ต้องพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์แห่งความหดหู่ โศกเศร้า และกดดันกับนาทีเป็นนาทีตายของทุกชีวิต และพร้อมที่จะเสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อการดูแลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตา
ขอขอบคุณ : http://www.tvburabha.com/
บนเส้นทาง...กว่าจะมาเป็น "พยาบาล"
ตอนที่ 1...