*..รอโหลดซักกะเดี๋ยว..*           ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย..๒๕๔๙
. . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ
คลิกที่นี่...ดูสด VoiceTV และ AsiaUpdate *..รอโหลดซักกะเดี๋ยวเตง..*
  

@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 26, 27, 28, 29, 30,


เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 26, 27, 28, 29, 30,
By: Thaksin Shinawatra


26, 3 กรกฎาคม 2556

วันนี้ขอเล่าเรื่องแอฟริกาอีกครั้งครับ เป็นเรื่องราวของประเทศ Rwanda (รวันดา) ประเทศเล็กๆในแอฟริกา ในปี 1994 หรือ 2537 เป็นปีที่ผมได้เข้าสู่การเมืองครั้งแรกโดยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศโควต้าพรรคพลังธรรมด้วยการเชิญของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง โดยไปแทนที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ จนเป็นที่มาของความอาฆาตแค้นผมจนถึงทุกวันนี้ และคุณชวนเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นซึ่งเดิมเคยชอบผมก่อนเข้าการเมืองเพราะท่านอยากให้ผมไปอยู่ประชาธิปัตย์ แต่พอผมไปรับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศของพรรคพลังธรรมซึ่งเป็นพรรคร่วมขณะนั้น ท่านก็เลยไม่พอใจผมจากวันนั้นจนถึงวันนี้

กลับมาที่รวันดาครับ ขณะนั้นประเทศนี้มีชนกลุ่มน้อยชื่อเผ่าทุตซี่ มีประชากรอยู่ประมาณเกือบ 700,000 คนแต่ถูกฆ่าตายไปโดยชนชาติเดียวกันซึ่งเป็นเผ่าของคนส่วนใหญ่ไปถึง 500,000 คน (80%) ซึ่งเรียกว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ว่าได้ เหตุเกิดเพราะดีเจวิทยุ 2 คน ปลุกระดมปลุกปั่นและชี้เป้าที่อยู่ของคนกลุ่มทุตซี่ซึ่งหนีหัวซุกหัวซุนให้ตามไปฆ่าจนเกือบสูญพันธุ์ โดยใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำเช่น ฆ่าพวกทุตซี่เหมือนกำจัดแมลงสาปในบ้าน ไม่บาป ถ้าไม่ฆ่ากันเราจะเป็นฝ่ายถูกฆ่า ใช้สื่อวิทยุพูดทุกวันให้เกิดการเกลียดชังกัน ให้คนทั่วไปคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความเป็นมนุษย์ สถานีวิทยุแห่งนี้ได้รับฉายาว่าเป็นสถานีวิทยุแห่งความตาย หลังเหตุการณ์จบลง ในปี ค.ศ.2003 หรือ พ.ศ.2546 ศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับรวันดาก็ได้ตัดสินประหารชีวิตดีเจทั้งสองคน ซึ่งปลุกปั่นโกหก บิดเบือนทำให้คนตายถึง 500,000 คน ซึ่งไม่คุ้มเลย บทเรียนนี้น่าจะมีความสำคัญต่อสื่อทั่วโลก

กลับมาที่เมืองไทยดีกว่าครับ เงื่อนไขหนึ่งและสำคัญมากที่จะทำบ้านเมืองเกิดการปรองดอง ให้เมืองไทยกลับมาเป็นสยามเมืองยิ้มเหมือนเมื่อก่อนได้ ก็ต้องให้สื่อที่เป็นธรรม เป็นกลาง มีจรรยาบรรณแห่งอาชีพของตัวเองมาช่วย วันนี้สื่อของเราแบ่งเป็น 2 ประเภท 1. เลือกข้าง 2. ประเภทกลางๆแต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีคนที่มีทั้งอุดมการณ์ความเป็นสื่อที่ดี และที่มีอคติปนอยู่ด้วย

ผมคิดว่าวันนี้ประเทศไทยต้องการสื่อที่ช่วยให้บ้านเมืองเข้าสู่ความปรองดอง สื่อไทยจะแย่อย่างไรก็คงไม่เลวร้ายแบบรวันดาแน่ แต่สื่อต้องเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ชอบดูทีวี ฟังวิทยุ และอ่านหนังสือนิยาย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรับความรู้ของคนไทย ถ้าท่านรู้จักทำวิจัยค้นคว้าหาความรู้มาให้คนไทยก็จะเป็นคุุณูปการ แต่ถ้าท่านมีอคติ ใส่ร้ายป้ายสีโกหก คนไทยก็จะได้รับรู้สิ่งผิดๆ สื่อของเราหลายท่านใช้ความรู้สึกของตัวเองมาถ่ายทอด เราเป็นประเทศที่องค์ความรู้ใหม่ๆน้อย เราต้องการองค์ความรู้ใหม่ๆที่สามารถกระจายความรู้ให้ประชาชนมากกว่าการแพร่กระจายข่าวลือ ในต่างประเทศเขามี Think Tank มากมายที่เป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้ ทุกวันนี้เลยกลายเป็นจุดอ่อนของคนไทยที่คิดไม่เป็น เชื่อข่าวลือ เชื่อข่าวปล่อย

เราต้องช่วยกันสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆให้กับคนไทย ดีที่สุดและเร็วที่สุดคือทำอย่างไรให้คุณภาพของสื่อเราได้รับการพัฒนาและให้คนเป็นสื่อของเราได้เข้าใจว่าไม่มีใครผิดตลอดเวลาและไม่มีใครถูกตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีอคติ ถ้าถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด สังคมจะฉลาดขึ้นเยอะ ความสามัคคีในชาติก็จะดีขึ้นครับ


27, 3 สิงหาคม 2556

วันนี้อยู่บ้านว่างๆ ก็เลยหยิบหนังสือที่พรรคพวกเอามาให้เป็นของขวัญวันเกิดมาอ่านเล่มหนึ่งชื่อ Rethinking the MBA : Business Education at a crossroad เขียนโดยอาจารย์จาก Harvard 2 คน ชื่อ Srikant M. Datar และ David A. Garvin พร้อมนักวิจัยอีกคนหนึ่งชื่อ Patrick G. Cullen เป็นหนังสือก็ไม่ใหม่เท่าไร ปี 2010 ครับ

เรื่องของเรื่องคือ คณะอาจารย์ Harvard ได้ทำการวิจัยหลักสูตรการศึกษาวิชาบริหารธุรกิจโดยเฉพาะหลักสูตรปริญญาโท หรือ MBA ว่า Harvard เพิ่งฉลองครบ 100 ปีไปเมื่อ 2008 ก็พอดีมีความเสียหายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างรุนแรง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและบริษัทล้มก็เป็นผู้จบ MBA จำนวนมาก เขาจึงอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และควรปรับปรุงหลักสูตรใหม่หรือเปล่า

ปรากฏว่าหลักสูตรดังๆ ทั้งหลายเช่น ของมหาวิทยาลัยดังอื่นๆ อย่าง Stanford ก็มีความคล้ายกัน และพบว่าต้องปรับปรุงขนานใหญ่ อะไรดีใช้มานานก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์นั้น

นี่ทำให้ผมนึกถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้วตอนผมทำธุรกิจอยู่ มีลูกน้องคนหนึ่งที่เป็นวิศวกรแล้วไปต่อ MBA อยู่อเมริกาหลายปี ก่อนจะมาทำงานกับผม เขาเสนอให้ผมอนุมัติโครงการหนึ่ง โดยที่ผมให้ไปทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและผลตอบแทน (Feasibility Study) ก่อน

เขาทำมาครั้งแรก ผลการศึกษาไม่คุ้มกับการลงทุน ก็เลยกลับไปทำครั้งที่สอง ทีนี้ตัวเลขปรากฏว่า โครงการมีกำไร ผมก็เลยบอกว่า “เอ้ นี่ MBA สอนคุณว่าถ้าไม่คุ้ม ก็ปรับตัวเลขให้คุ้มหรือ” เขาก็ยืนยันว่าคุ้มจริงๆ ผมก็เลยอนุมัติ

ผลต่อมาปรากฏว่าบริษัทขาดทุน 40 ล้าน

หลังจากนั้นผมก็ไม่เชื่อผลการศึกษาของการทำ Feasibility โดยไม่ขอดูภาพรวมทั้งระบบอีกเลย ภาพรวมทั้งระบบก็คือสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศ อายุของเทคโนโลยีที่ใช้ สภาวะการแข่งขัน

ถ้าดูแต่ตัวเลขก็จะพังแบบนี้ เหมือนเศรษฐกิจที่ล่มในหลายประเทศก็เกิดจากการที่ชอบดูแต่ตัวเลขบรรทัดสุดท้าย โดยไม่ดูข้อสันนิษฐานที่มาของตัวเลขและโยงกลับไปถึงปัจจัยภายนอก ภายใน และยุทธศาสตร์ขององค์กร

เรื่องที่เกี่ยวพันอีกเรื่องที่อยากจะฝากให้ระวังคือ เรื่องการวัด KPI ของความสำเร็จของพนักงานหรือผู้บริหารทั้งหลายที่กำลังนิยมใช้ก็ทำให้หลายองค์กรที่มีผู้บริหารที่ KPI ในเกณฑ์ดีแต่เจ๊งกันเป็นแถว ก็เพราะไม่เข้าใจวิธีคิดและที่มาของมัน ที่คิดโดย Kaplan

จริงๆแล้ว KPI ประกอบด้วยหลายตัวชี้วัดและให้น้ำหนักต่างกัน ซึ่งต้องแปรผันไปตามยุทธศาสตร์ขององค์กร สภาวะการแข่งขัน และสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป เพื่อเป็นตัวกระตุ้นการทำงานไม่ให้เกิด โง่แล้วขยัน หรือ ฉลาดแต่ขี้เกียจ

ถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือว่า ถ้าขืนมองแต่ภาพเล็ก ไม่เงยหน้าดูภาพกว้างก็เหมือนคนก้มหน้าเดิน ซึ่งไม่ตกหลุมแน่ แต่ถ้าหัวไม่ชนกำแพง ก็ถูกรถชน หรือไม่ก็เดินชนคนอื่นนั้นเองครับ

หลักสูตรทุกหลักสูตร ไม่ว่าวิชาอะไรก็ต้องปรับปรุงทุก 3-4 ปีเป็นอย่างช้า เพราะโลกมี Dynamism หรือการเปลี่ยนแปลงสูง ไม่ได้เป็น Static เหมือนคนไม่เคยเปลี่ยนวิธีคิด อันตรายครับ


28, 7 สิงหาคม 2556

เมื่อ2วันก่อน มีเพื่อนต่างชาติคนหนึ่งโทรมาหาผมบอกว่า อิรัคยกเลิกการประมูลข้าวจากไทยเพราะไม่มั่นใจในคุณภาพ เหตุเกิดเนื่องมาจากเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่เขาซื้อข้าวไทย ข้าวขาวชั้นดีแล้วส่งมอบข้าวคุณภาพต่ำให้เขา ผมก็เลยเชิญเขามาพบเพื่อเล่าข้อเท็จจริงให้ฟัง เขาตำหนิ Surveyors ของไทยที่ไม่จริงจังในการตรวจสอบคุณภาพของที่จะส่งมอบตามที่ตกลงกันไว้ แต่เขายังซื้อข้าวหอมมะลิต่อไปเพราะการควบคุมคุณภาพที่ส่งมอบไม่มีปัญหา

อิรัคซื้อข้าวไทยปีละ 1 ล้านตัน ทำให้ตลาดหายไปดื้อๆ เขาบอกผมว่าไทยไม่ต้องมาตัดราคาขายข้าวถูกๆแล้วเอาของไม่ดีให้เขา เขาพร้อมจ่าย premium เพราะข้าวไทยรสชาติดีกว่าของข้าวเวียดนาม เขาไม่แคร์ที่จะจ่ายเพิ่มเพราะประเทศเขารวยแล้ว คนของเขาควรได้กินข้าวมีคุณภาพจากไทย ก็เลยรีบบอกไปยังกระทรวงพาณิชย์ให้ไปรับรองกับทางการอิรัคเลย เขาพร้อมจะซื้อในราคาสูงกว่าตลาดโลกด้วยซ้ำ

ผมเล่าให้ฟัง มี 3 เรื่องที่อยากจะบอกกับผู้ติดตาม FB ผมคือ

1. อิรัค ถึงแม้จะมีเหตุการณ์อยู่บ้าง แต่ไม่มากเกิน เขารวยแล้วและพร้อมจะใช้เงิน premium ในการซื้อของคุณภาพ เป็นตลาดที่สำคัญที่หากเอกชนน่าจะลองเจาะดูตลาดนี้นอกจากอาหาร ก็อาจมีพวกอะไหล่รถยนต์ และการบริการด้านต่างๆ

2. การขายของ ขอให้ซื่อสัตย์กับลูกค้า ถ้าตกลงอย่างไร ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องหวังผลระยะยาว ไม่เห็นแก่ประโยชน์อันใกล้ ตีหัวเข้าบ้าน จะทำให้การค้าไม่ยั่งยืน ไม่เจริญ

3. บริษัทที่เป็นมืออาชีพที่ถูกจ้างเข้ามา เช่น Surveyors ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือ ผู้ตรวจสอบคุณภาพ เป็นต้น ต้องรักษาจริยธรรมในวิชาชีพของตัวเอง ไม่เช่นนั้นท่านก็พัง ผู้ใช้บริการของท่านก็พัง

อย่างกรณีที่เกิดขึ้น Surveyors ข้าวบางรายนี้ ถึงกับทำให้ตลาด 1 ล้านตันเสียหาย ทั้งๆที่เขาส่งออกปีละ 7-8 ล้านตันเท่านั้น จึงนับเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง ถ้าไม่รู้จักกันไม่เชื่อคำพูดกัน ก็จะเอาตลาดคืนไม่ได้

สรุปก็คือ ต้องเข้าใจคำว่า Professionalism ซึ่งหมายถึงว่าคุณต้องมีความรู้และการศึกษาในสาขาวิชาชีพนั้นๆ และที่สำคัญทุกสาขาวิชาจะมีจริยธรรมแห่งอาชีพนั้น (code of ethic) ซึ่งคุณจะต้องเคารพและปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าไม่เช่นนั้นถือว่าไม่ใช่ Professionalism ครับ


29, 8 สิงหาคม 2556

เมื่อปลายเดือนกรกฎา ต่อต้นเดือนสิงหา นายกฯยิ่งลักษณ์ ได้ไปเยือน 3 ประเทศในแอฟริกาอย่างเป็นทางการ บางคนก็สงสัยว่าไปทำไม ผมก็เลยอยากจะเล่าให้ฟังว่าวันนี้ ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่น่าสนใจมาก ถ้าใครช้าก็อาจตกขบวนได้

ผมจะขอวิเคราะห์ให้ฟังครับว่าโล...กทั้งโลกวันนี้ คือที่ทำมาหากินของบริษัทข้ามชาติทั้งหลาย เขามองเอเชียกำลังเติบโตขึ้นมา มีกำลังแรงงาน กำลังการผลิต มีประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก มีเงินสำรองระหว่างประเทศรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินสำรองโลก เราอาจจะมีทรัพยากรมาก เช่น น้ำมันแถบเอเชียกลาง และเอเชียตะวันตก(Middle East) แต่วันนี้ เราก็คือผู้ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งเพื่อการผลิตและการบริโภค ตลอดจนเพื่อการดำรงชีพ

วันนี้ที่น่าสนใจมากคือ ทวีปแอฟริกา ซึ่งมีทรัพยากรมากจริง ความสามารถในการผลิตเองใช้เองยังน้อย เพราะคนของเขาผ่านความขัดแย้งและสงครามมามาก การศึกษายังน้อย การพัฒนายังต่ำมาก ผู้นำสวนใหญ่มาจากทหาร พื้นเพความรู้ด้านเศรษฐกิจ ด้านการต่างประเทศ ยังน้อยมาก บริษัทใหญ่จึงเข้าไปกันมาก

อย่างเช่น บริษัท De Beers เข้าไปนานมากแล้ว มีเหมืองเพชรอยู่ในหลายประเทศ อย่างถ่านหินนี้ก็มีอยู่ทั่วไปหาง่ายมากแทบทุกประเทศ แต่มีปัญหาโครงสร้างพื้นฐานหลายที่ ขุดแล้วไม่รู้จะเอาไปขายอย่างไร เพราะขนไม่ไหว เช่น ทองแดง ยูเรเนียม อลูมิเนียม แพลตินัมไม่ต้องพูดถึง มีเยอะมากแทบทุกประเทศ

ที่สำคัญคือน้ำมันและก๊าซ ขณะนี้พบทั่วไปตั้งแต่เหนือแถบลิเบีย อัลจิเรีย มาทางตะวันออกมาเคนยา อูกันดา ทานซาเนีย ซูดาน ลงมาใต้ก็โมซัมบิค มาดากัสการ์ แอฟริกาใต้ ขึ้นไปตะวันตกจนถึงไนจีเรียและคองโก ปรากฏเยอะมาก เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การค้นหาทำได้ง่ายและถูกลง

แอฟริกาต้องการการลงทุนและการถ่ายทอดความรู้อีกมาก แม้กระทั่งการเกษตรก็ยังเป็นแบบตามมีตามเกิด ทั้งๆที่ดินอุดมสมบูรณ์ น้ำเยอะมากแต่ทำไม่เป็น ขาดการจัดการและขาดโครงสร้างพื้นฐาน

ในช่วงที่ผ่านมาจีนเข้าไปเยอะมาก แต่เขาไม่ค่อยชอบจีนเท่าไหร่ทั้งๆที่ช่วยเขาเยอะ เขาบ่นว่าจีนไม่ชอบใช้แรงงานท้องถิ่น ชอบเอาคนของจีนเข้าไปหมด โอกาสในแอฟริกามีมากแต่ต้องอดทน ค่อยๆดู อย่าใจร้อน

ถ้าไปประเทศที่เจริญหน่อยต้องระวังโดนหลอก รัฐบาลจึงอยากให้ฑูตไทยได้ไปศึกษาให้ชัดเจนว่าเรามีลู่ทางที่ประเทศไหนอย่างไร เราจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันอย่างไร เราถึงมีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันตลอดเวลา เพราะต่อไปเราต้องเป็นประเทศผู้ผลิต ก็ต้องนำเข้าทรัพยากรมากเช่นเดียวกับจีนปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเราต้องมีลู่ทาง

ปตท.เอง ก็จ้องไปหาลู่ทางอยู่ มีการไปลงทุนบ้างแล้ว แต่ทุกอย่างต้องมองการเปลี่ยนแปลงและคาดการณ์ให้ได้ เช่น อะไรจะเกิดขึ้นกับราคาก๊าซ LNG ถ้าอเมริกาอนุญาตให้ส่งออก เพราะก๊าซอเมริการาคาถูกมาก อะไรจะเกิดขึ้นกับราคาน้ำมันถ้าอเมริกาเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้าเป็นประเทศผู้ส่งออก เพราะเทคโนโลยีใหม่ที่ผลิตน้ำมันจาก Oil Shale ที่มีอยู่มากมายใน U.S. และจีนก็มีมากแต่จีนก็มีปัญหาเรื่องนี้ เลยผลิตไม่ได้เหมือน U.S. และผู้ที่อาศัยรายได้จากน้ำมันอย่างเดียวอย่างตะวันออกกลาง (West Asia) จะทำอย่างไร

โลกทั้งโลกมีเรื่องน่าศึกษา มีเกร็ดให้เรียนรู้เยอะ การที่ผมต้องถูกออกมาอยู่อย่างนี้ มีข้อดีก็คือ ได้เรียนเรื่องราวของโลกทุกซอกทุกมุมทุกมิติได้มากเพราะผมอยู่บนเครื่องบินเฉลี่ยเดินทางไปมาทุก 3 วัน ไว้จะพยายามเอามาถ่ายทอดให้ผู้ติดตาม FB ได้อ่านไปเรื่อยๆครับ


30, 11 สิงหาคม 2556

ตอนนี้ผมอยู่ระหว่างเดินทางกลับจากเวียดนาม ก็เลยอยากจะคุยให้พี่น้องฟังเรื่องของเวียดนามครับ

ผมไปฮานอย หลังจากไม่ได้ไปมาเกือบ 10 ปี เห็นกำลังขยายถนน สะพาน สนามบินอยู่ แต่มองสภาพทั่วๆไปแล้วก็ยังเหมือนกรุงเทพเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ดูเจริญขึ้น แต่ก็ไม่เร็วมากนัก เพราะประชากรมาก มีสงครามหลายปี

ในช่วงที่มีการเปิดประเทศใหม่ๆ ก็มีนักลงทุนแห่กันไป แต่ตอนนี้กลัวๆกัน เพราะมีการลดค่าเงินดองถึง 3 ครั้งใกล้ๆกัน กว่าจะสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นคงต้องใช้เวลาอีกสัก 10 ปี

ก็เป็นอุทาหรณ์ครับว่า ความน่าเชื่อถือ ถ้าหายไปแล้วได้ต้องใช้เวลามากที่จะเรียกกลับคืน

ผมไปทั่วทุกประเทศในอาเซียน ผมบอกตรงๆว่า ศักยภาพไทยสูงที่สุด แต่วันนี้เรามีปัญหาตรง 2 อย่างครับคือ

1. ความขัดแย้ง ความอิจฉาเกลียดชังกันเอง ทำให้ขาดพลังในการสร้างความเจริญและแข่งขันกับโลกได้ และ

2. การมีองค์กรอิสระที่สร้างขึ้นจากจุดเริ่มต้นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เกิดขึ้นเพราะจำเป็นต้องให้เกิด เลยเกิดบนพื้นฐานของความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน หาเรื่องกัน แกล้งกัน ทำให้การพัฒนาประเทศช้าและทำแทบจะไม่ได้

สิ่งที่ตามมาคือ เกิดวัฒนธรรมใหม่ในหมู่ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ นั่นคือวัฒนธรรมที่ไม่ทำก็ไม่ผิด เพราะฉะนั้นจึงอยู่ไปวันๆหนึ่ง ทำให้ประเทศขาดความก้าวหน้า ขาดแรงกระตุ้นในการพัฒนาที่รองรับเศรษฐกิจและการแข่งขัน ไม่ทันโลก

เพราะฉะนั้น การที่ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ได้เชิญชวนทุกฝ่ายมาหันหน้าเข้าหากัน ออกแบบกติกาการอยู่ร่วมกันใหม่ หรือสร้าง Modern Social Contract Theory ใหม่ เพื่อเกิดรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่ Winner takes all และเป็นการ inclusive มากกว่าการแบ่งฝ่าย ประเทศน่าจะพัฒนาได้เร็ว คนจนจะได้หมดจากแผ่นดินไทย ยกเว้นพวกสบายแล้ว ไม่อยากเห็นคนจนหายจนเท่านั้น พวกเขาคนจน กำลังนั่งรอเมตตาธรรมจากท่านที่เรียกว่า ท่านผู้เจริญแล้ว ท่านผู้สบายแล้วอยู่ครับ

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากพูดถึงก็คือ การมาเวียดนามครั้งนี้ ก็มาขอความมือไม่ให้มีการกดราคาข้าวในตลาดโลก เพราะว่าถ้าข้าวมีการขึ้นราคาไปได้อีก 100 USD ต่อ 1 ตัน เวียดนามก็ได้เงินเพิ่มขึ้นอีก 700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีความหมายสำหรับเกษตรกร ซึ่งเขาเห็นด้วยและพร้อมร่วมมือ

ที่สำคัญคือ ผมตอนเดินทางมาผมก็กินข้าวไทยในเครื่องบินเสร็จ มาถึงเวียดนาม ก็มากินข้าวเวียดนาม รู้สึกเลยครับว่าข้าวไทยอร่อยกว่ามาก

วันก่อนที่ผมโพสต์เล่าเรื่องตลาดข้าวอิรัก ผมได้คุยกับผู้บริหารอิรัก เขาบอกผมว่า ข้าวไทยอร่อยที่สุด ขายแพงหน่อยก็ได้ ไม่ต้องลดราคาลงมาแข่งคนอื่น เพียงแต่ควรควบคุมคุณภาพในการส่งออกหน่อย

ผมฟังวันนั้นก็ยังไม่ตื่นเต้นอะไร เพราะไม่เคยเปรียบเทียบข้าวไทยกับข้าวประเทศอื่น เที่ยวนี้ได้ลองชัดๆ เลยต้องยอมว่าข้าวเราอร่อยจริงๆ

ก็เอาเป็นว่าต้องช่วยกัน รับผิดชอบชื่อเสียงประเทศให้มากๆ จะเล่นการเมืองอะไรกัน จะอิจฉากัน จะหมั่นไส้กันก็ให้อยู่ในขอบเขตที่ไม่ทำให้ชื่อเสียงประเทศเสียหายเป็นดีที่สุดครับ

เชิญติดตามตอนต่อไป : เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 31, 32, 33, 34,