*..รอโหลดซักกะเดี๋ยว..*           ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย..๒๕๔๙
. . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ
คลิกที่นี่...ดูสด VoiceTV และ AsiaUpdate *..รอโหลดซักกะเดี๋ยวเตง..*
  

@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 20, 21, 22, 23, 24, 25,


เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 20, 21, 22, 23, 24, 25,
By: Thaksin Shinawatra


20, 11 มิถุนายน 2556

สวัสดีประเทศไทยครับ

วันนี้ผมอยู่ที่นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเรื่องราวเล่าให้ฟังสงสัยจะยาวหน่อย เพราะเป็นเมืองที่เป็นความทรงจำที่มีความหมายกับชีวิตของผมหลายเรื่อง

เรื่องแรกที่อยากจะเล่าก็คือ ถ้าผมจำไม่ผิด ราวๆ วันที่ 6 ตุลาคม ปี 2537... (1994) ผมได้รับเชิญมาพูดในงานของบริษัท Lehman Brothers ให้นักลงทุนของบริษัทนี้ฟัง มีผู้พูดที่สำคัญหลายคน คนหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ Mr.Carlos Slim ซึ่งเป็นคน Mexico

ขณะนั้นเขาเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจโทรคมนาคมที่ Mexico ผมเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจนี้ที่ประเทศไทย ขนาดของธุรกิจและความรวยก็พอกัน เพราะ Forbes magazine ปี 1993 ประเมินว่าผมมีเงินและหลักทรัพย์รวมกันในขณะนั้นประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ พอๆ กับนาย Carlos Slim

สิ่งที่อยากเล่าก็คือชีวิตที่เปลี่ยนไปของผม คือผมกลับไปเป็น รมต. ต่างประเทศในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน แต่ Mr.Carlos หลังจากเจอกันแล้ว แกกลับไปขยายกิจการไปยังอีกหลายประเทศ จนถึงทุกวันนี้ แกรวยอันดับ Top 5 ของโลก แต่ผมติดกับอยู่ในการเมือง ถูกยึดทรัพย์ที่หามา จนไปเยอะ

ถามว่าผมเสียใจไหม คงไม่ เพราะอดีตเอาคืนไม่ได้ แต่ผมภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติและช่วยคนจำนวนมากให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะรวยมากก็ไม่ได้ใช้อะไรมาก พรุ่งนี้จะเล่าต่อว่ารวยมากดีแต่มันเป็นอย่างไร และเกี่ยวกับนิวยอร์คอีกเช่นกัน


21, 12 มิถุนายน 2556

ขอคุยต่อเรื่องนิวยอร์คครับ

ผมก็อยากจะเล่าอดีต ประมาณปี 2534 ตอนนั้นผมเริ่มมีเงินฝากธนาคารเป็นของครอบครัวไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาทหลังจากเอาหุ้นบริษัทชินวัตร (Shin Corporation) เข้าตลาดได้ปีเศษ ก็เลยอยากจะรู้ว่าคนรวยเขาใช้เงินกันอย่างไรก็เลยมาเที่ยวนิวยอร์ค พกเงินสด (สมัยก่อนไม่ห้าม) เป็นเงินสหรัฐ 100,000 เหรียญก็ประมาณ 3,000,000 บาท โดยอยากรู้ว่า จะขอใช้ให้หมดภายในวันเดียวซิ จะรู้สึกอย่างไร เพราะผมไม่ชอบเล่นการพนันและใจไม่ถึง

ผมพกเป็นเงินสดเดินอยู่บนถนน 5th Avenue ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านแพงของโลกอยู่เต็ม 2 ข้างทาง ผมเดินตั้งแต่เช้ายันเย็น จากร้านเปิดจนร้านปิด ก็เพื่อตั้งใจที่จะใช้ให้หมดทั้ง 100,000 เหรียญ โดยทำตัวให้ฟุ่มเฟือยสุดๆ แต่ในที่สุดไปเห็นอะไรก็มีแล้ว จะซื้อฝากลูกเมียก็ซื้อได้ไม่กี่อย่าง เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรในที่สุดก็ใช้เงินไปประมาณ 30,000 กว่าเหรียญ ก็ประมาณ 1 ล้านบาทเท่ากับ 1 ใน 3 เท่านั้น

ที่ผมเล่าให้ฟังเพราะมันเป็นความทรงจำที่มานิวยอร์คว่าอยากจะทำตัวบ้าๆเหมือนคนที่เขารวยมากๆ เพราะตอนนั้นถือว่าผมเป็นเศรษฐีใหม่ ในที่สุดก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่เสียสติ เงินทองมีมากก็แค่นั้น เพราะวันๆไม่ได้ใช้อะไร ยิ่งถ้าเป็นคนทำงานแล้วยิ่งไม่รู้จะใช้ทำอะไร ความโลภจึงไมใช่สิ่งที่ดี การหาเงินของคนทำธุรกิจมันก็เป็นเพียงการขยายกิจการเพื่อรักษาสถานภาพขององค์กรและของพนักงานที่ต้องรับผิดชอบ

ชีวิตผมมันเคยเห็นนรกและสวรรค์ในชาติเดียวกันมา 2 รอบแล้ว เคยลำบากทางการเงินขนาดต้องขึ้นศาลผลัดหนี้มาจนมีเงินหลายหมื่นล้านบาท และเคยเป็นนายกรัฐมนตรีจากการชนะการเลือกตั้ง มาจนถึงต้องมาลี้ภัยอยู่ต่างประเทศเพราะถูกทหารทำรัฐประหาร ก็เลยเข้าใจสัจธรรมของชีวิตดีและอยากเอาประสบการณ์มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการบริหารชีวิตของแต่ละท่านครับ


22, 12 มิถุนายน 2556

นิวยอร์คอีกสักตอนครับ

ผมมานิวยอร์คเที่ยวนี้ รู้สึกแปลกใจว่าทำไมสภาพถนนทั่วๆไปถึงแย่จัง ขรุขระมาก ซึ่งถ้าจะซ่อมก็ง่ายนิดเดียว แต่ไม่ทำเป็นเวลานานแล้วด้วย กี่ปีก็คล้ายแบบนี้ และย่านที่คนต่างชาติอพยพมาอยู่ทั่วไปก็ยังโทรมๆอยู่ ผมไปย่านไฮโซที่...เขาพยายามจะเลียนแบบลอสแองเจลิสที่มีร้านวัยรุ่น มีร้านอาหารสมัยใหม่ (ฟิวชันส์) ร้านแฟชั่น ร้านของประดับผู้หญิงก็เริ่มมาเปิดกัน แต่ยังทำสู้ทาง L.A. ไม่ได้ แม้นิวยอร์คจะเป็นศูนย์กลางการเงินโลก มีคนรุ่นใหม่อยู่เยอะ แต่ตามถนนคนดูไม่ค่อยมีตังส์เหมือน L.A. ครับ

นักท่องเที่ยวและนักศึกษาจากจีนมีเยอะมาก เหมือนกับเมืองท่องเที่ยวทั่วไปเช่นลอนดอนและปารีสครับ

วันนี้พอเรื่องนิวยอร์คก่อน ครั้งหน้าจะเล่าเรื่อง Washinton D.C. ครับ เพราะตอนนี้ผมมาอยู่ D.C. แล้วครับ ก็จะเล่าให้ฟังทั้งเรื่องบ้านเมืองและการเมืองครับ


23, 14 มิถุนายน 2556

วันนี้ผมกลับมาถึงลอนดอนแล้วครับ ก็ขอเล่าเรื่องการไปวอชิงตัน ดีซี หน่อยสัก 2 ตอน ครับ

ผมได้มีโอกาสไปพบกับคนในสถาบันที่เป็นสมองช่วยคิดช่วยค้นคว้าวิจัยให้กับรัฐบาลและฝ่ายการเมืองของสหรัฐหลายองค์กร มีความประทับใจหลายเรื่องที่เราต้องเอากลับมาคิดถึงของเราว่า ควรจะมีการพัฒนาของเราอย่างไร

เรื่องแรกคือเขามีองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร (Non-Profit Organization) ที่ให้การสนับสนุนโดยภาคเอกชน เขาจ้างเด็กรุ่นใหม่เรียนหนังสือจากสถาบันดีๆ ในสหรัฐมาทำงานเพื่อทำวิจัยเรื่องราวด้านต่างๆ และออกเป็นยุทธศาสตร์เพื่อนำเสนอรัฐบาลและฝ่ายการเมืองผ่านกรรมาธิการด้านต่างๆ ทำให้สิ่งที่เขาพูด เขาคิด มีข้อมูลเพราะวิจัยรองรับ แล้วความรู้ที่ได้ เขาไม่หวง เขาแจกจ่ายต่อกันจนผมเดินไปเจอใคร ถ้าพูดเรื่องเดียวกัน ก็จะได้คำตอบเหมือนกันทุกองค์กร น่าสนใจมากครับ

ของไทยเรายังขาดตรงนี้มาก ไม่มีองค์กรที่เป็น Think Tank คนที่พูดทุกวันนี้ มีตั้งแต่พูดเพราะเข้าใจเอาเอง พูดเพราะฟังเขามาแล้วเชื่อเลย บางคนก็แต่งเรื่องเอาเองเพราะเรามีหนังสือนิยายมากกว่าตำราเรียน หรือหนังสือที่เป็นองค์ความรู้

ผมได้มีโอกาสซักถามกระบวนการสร้างความรู้ ความคิด และงานวิจัยของเขาแล้ว อยากเห็นบ้านเราเป็นเช่นนั้นครับ

ผมยอมรับว่าเขาเป็นสังคมฐานความรู้ (Knowledge Based Society) จริงๆครับ ถ้าเราอยากจะแข็งแรง อยากสร้างอนาคตให้ลูกหลาน ไม่ใช่อยู่ไปวันๆหนึ่ง เอารุ่นพ่อแม่รอด รุ่นลูกก็ให้ช่วยตัวเองกันเองก็คงต้องปล่อยแบบนี้ล่ะครับ

ผมได้คุยกับคนเหล่านี้ ในเรื่องความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ ซึ่งปีนี้ถือว่าเป็น 180 ปีแห่งการเป็น Treaty Allied คือเป็นพันธมิตรด้วยสนธิสัญญาประเทศแรกในเอเชียกับสหรัฐอเมริกา และในสมัยผม ก็ได้เป็น 1 ในไม่กี่ประเทศในโลกที่เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) กับสหรัฐ และเรากำลังจะเข้าร่วมเจรจาการค้าในกรอบ TPP ร่วมกับหลายประเทศกับสหรัฐ ในเร็วๆนี้ ที่เขาสนใจมากคือเรื่องพม่า เรื่องความสัมพันธ์กับจีน และ ASEAN โดยรวม ว่าจะเดินกันอย่างไร

ซึ่งตอนผมไปก็เพิ่งสิ้นสุดการประชุมผู้นำสหรัฐ, จีน อย่างไม่เป็นทางการแบบ Retreat ที่แคลิฟอเนียร์ ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน มีอะไรคืบหน้า อะไรไม่คืบหน้า แล้วสหรัฐคิดอะไร

ยอมรับว่าไปเที่ยวนี้คุ้มค่ามากๆ ก็เลยเล่าให้ท่านนายกฯฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องปรับการต่างประเทศของเราให้ Proactive ขึ้นเพราะสหรัฐจะให้ความสำคัญในการประชุมผู้นำในกรอบ EAS ที่เป็นการประชุมควบคู่ไปกับการประชุมผู้นำ ASEAN ทุกปีมาก และประเทศไทยเป็นประเทศสำคัญที่ต้องมีบทบาทครับ


24, 15 มิถุนายน 2556

ขอเล่าเรื่องวอชิงตันดีซีต่ออีก 1 วันครับ

ผมเป็นคนชอบเก็บข้อมูลแล้ววิเคราะห์เปรียบเทียบครับ ผมไปที่ไหนขาดไม่ได้คือกินกับซื้อของ มาเที่ยวนี้ก็พยายามไปหาของดีๆทาน พบว่า ให้เพื่อนแนะนำร้านดีๆไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหน ก็พบว่าอาหารดีและอร่อยก็จริง แต่ยังไงก็ไม่ถึงของดีของอร่อยของยุโรปและเอเชียเมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไรก็ตามไม่ถึงจริงๆ กาแฟตามร้านอาหารรสชาติเหมือนกันหมด คือ รสอ่อน นิวยอร์คอาจจะดีกว่าดีซี แต่ก็ยังสู้ยุโรปและเอเซียไม่ได้ ยิ่งช็อปปิ้งยิ่งชัดครับ ของสวยๆงามๆทั้งๆที่ยี่ห้อเดียวกันของที่วางขายก็จะเป็นไปตามรสนิยมของประเทศนั้นๆ ของยี่ห้อยุโรป เช่น Chanel, Louis Vuitton, etc. ที่นิวยอร์คของจะดูดีกว่าดีซี ที่น่าสนใจคือ ทุกห้างสรรพสินค้าจะมีเสื้อผ้า Size ใหม่ที่ผมไม่คุ้นเคย คือ Size 1X, 2X ,3X หมายถึง Size ใหญ่กว่า X-large 1 Size, 2 Size, 3 Size มันบอกอะไรรู้ไหมครับ มันบอกว่าคนอเมริกันตัวใหญ่ๆ มีจำนวนมากขึ้น มากจนมีแผนกนี้ขึ้นมาทุกห้างสรรพสินค้า หุ่นที่ใส่ชุดโชว์ก็ใหญ่มาก เห็นแล้วตกใจ ร้านอาหารทุกร้านเสิร์ฟอาหารก็ให้เยอะมาก บางคนอาจจะเสียดายก็เลยต้องกินให้หมดก็เลยอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศสหรัฐที่ต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ก็เล่าสู่กันฟังครับ


25, 29 มิถุนายน 2556

หายไปนานครับ เดินทางมากไปหน่อย วันนี้ทราบข่าวท่านประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดล่า (Nelson Mandela) ประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ ผู้เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อายุ 94 ปี เกิดอาการป่วยหนักรักษาตัวอยู่ในไอซียู ผมก็เลยขออนุญาตเขียนถึงท่านหน่อยครับเพื่อแสดงความนับถือและยกย่องบุคคลที่เป็นรัฐบุรุษของโลกไม่ใช่เพียงแอฟริกาใต้เท่านั้น

ท่านถูกจับติดคุกหลายปีในขณะต่อสู้กับการปกครองของคนผิวขาวเพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับคนผิวดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจนต้องถูกจับเข้าคุกไปเป็นสิบๆปี แต่ก็ไม่เคยลดละความพยายามที่จะต่อสู้

ในขณะที่ท่านติดคุก ก็มีภริยาของท่านคือ Winnie Mandela ภรรยาแรกที่มีบุตรด้วยกันหลายคนเป็นผู้นำการต่อสู้อยู่ข้างนอก จนท่านเนลสัน แมนเดลาพ้นคุก และลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยชนะได้เป็นประธานาธิบดีด้วยเสียงท่วมท้น แล้วท่านก็มาเริ่มขบวนการสร้างความปรองดองในชาติโดยใช้กีฬาคือรักบี้ฟุตบอลเป็นสื่อกลางให้คนขาวและคนดำมารวมกัน ซึ่งก็ได้ผลมากจนเกิดความปรองดองในชาติได้

ผมบังเอิญรู้จักภรรยาของท่านคือ Winnie Mandela ซึ่งเป็น ส.ส.อยู่ในสภา ขณะนั้นท่านก็อายุ 80 กว่าแล้ว(ภายหลังเลิกกันและภรรยาคนปัจจุบันของท่านคืออดีตภรรยาของอดีตประธานาธิบดีโมซัมบิก ซึ่งถึงแก่กรรมไปก่อนนานแล้ว) มาดาม Winnie ได้ชวนผมไปเยี่ยมที่บ้านที่อยู่ปัจจุบัน เป็นบ้านที่ท่านเนลสัน แมนเดลาได้มาอยู่ด้วยหลังจากออกจากคุก และก็ได้ให้ลูกสาวท่านพาผมไปเยี่ยมคารวะท่านประธานาธิบดี เมื่อ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตอนนั้นท่านยังสมอง sharp มาก แต่ก็ไม่ค่อยดี ท่านยืนไม่ค่อยได้นาน ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านถูกล่ามโซ่ ทำให้ขามีปัญหา และท่านก็ถามถึงเหตุการณ์บ้านเราในขณะนั้น ท่านอยากเห็นความปรองดองในประเทศไทย ก็แลกเปลี่ยนความเห็นกันอยู่พักนึง

พอวันนี้ผมก็เลยเขียนเพื่อแสดงความเคารพและหัวใจนักสู้ที่มีความเมตตาคิดถึงส่วนรวมมากกว่าตัวเอง และก็ได้แต่อยากเห็นประเทศไทยซึ่งเคยเป็นเมืองศิวิไลซ์แต่วันนี้กลับมีความแตกแยกได้กลับมาเป็นประเทศที่น่าอยู่เป็นที่ชื่นชมและน่าเคารพในสายตาคนอื่นเขาบ้าง แต่ก็ไม่ง่าย ถ้าเรายังอยู่กันด้วยการปล่อยข่าวลือโกหกทุกเรื่องเพียงเพื่อหวังทำลายฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจโดยไม่เคารพกติกาของประชาธิปไตย แถมคนรักษากติกาก็ไม่มีใจเป็นธรรม

วันนี้คนแอฟริกาใต้ไม่ว่าจะเป็นคนผิวขาวหรือคนผิวดำ เขาก็มีความรักชาติเขาและเคารพกติกาที่มีอยู่ทั้งๆที่คนผิวขาวแทบจะไม่มีบทบาททางการเมืองมากนัก เขาก็เต็มใจที่จะอยู่ในกติกาของเขา

บังเอิญกัปตันเครื่องบินส่วนตัวผมทั้งสองคนก็เป็นคนแอฟริกาใต้ผิวขาวทั้งคู่ เลยได้คุยกันถึงการต่อสู้ของท่านแมนเดลาและการอยู่ร่วมกันของคนทั้งผิวขาวและผิวดำอย่างสันติครับ

เชิญติดตามตอนต่อไป : เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 26, 27, 28, 29, 30,