*..รอโหลดซักกะเดี๋ยว..*           ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย..๒๕๔๙
. . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ
คลิกที่นี่...ดูสด VoiceTV และ AsiaUpdate *..รอโหลดซักกะเดี๋ยวเตง..*
  

@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นิยายรักอมตะอิงประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา



ผู้ประพันธ์เชิญให้ท่านอ่านและติชมได้ตามสบาย..

โครงเรื่อง : นิยายรักอมตะ : นิรันดร์...คำสัญญา
ผู้ประพันธ์ : ..ชมชนก

ว่านหญิงกลางคนซึ่งป่วยด้วยโรคซึมเศร้า เธอมักจะได้ยินเสียงคนพูดกับเธอเสมอโดยไม่เห็นตัวตน อัสนีและน้ำหนึ่งซึ่งเป็นลูกของเธอเชื่อในคำวินิจฉัยของแพทย์ว่า ว่านมีอาการหูแว่วเพราะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่เสียงที่ว่านได้ยินในหัวก็สามารถทำให้ว่านหายป่วย เพราะสอนให้ว่านรู้จักหลักแห่งไตรลักษณ์ในการดำเนินชีวิต แล้วว่านและลูก ๆ ของเธอก็พบกับเหตุการณ์ประหลาดเหนือธรรมชาติ นั่นคือดวงวิญญาณของพระภิกษุหลวงพี่ตะวันของดอกแก้วหรือว่านในภพนี้ และดวงวิญญาณของดวงดารา ซึ่งคือหญิงอันเป็นที่รักของสายฟ้าหรืออัสนีลูกชายของว่านในปัจจุบัน

ทุกคนพยายามสืบค้นว่าทำไมดวงวิญญาณทั้ง ๒ ดวง จึงปรากฏกายให้พวกเขาเห็น อีกทั้งบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งพวกเขาจำไม่ได้ จนเมื่อว่านและลูกของเธอได้พบสมุดบันทึกของต้นตระกูล ๒ เล่ม คือบันทึกของดอกแก้ว และบันทึกที่มีชื่อว่ากงล้อแห่งกรรม พวกเขาก็ได้คำตอบในทุกสิ่ง และพวกเขาพยายามที่จะช่วยให้ดวงวิญญาณทั้ง ๒ ได้ไปสู่ในภพภูมิที่สมควร โดยเฉพาะอัสนีผู้เป็นกุญแจสำคัญในการปลอดปล่อยดวงวิญญาณของดวงดารา ซึ่งทนทุกข์ทรมานเพราะการรอคอยสายฟ้าหรืออัสนี มาเป็นเวลาถึง ๒๔๒ ปีแล้ว

ชาติภพและวันเวลาที่ยาวนานมิอาจขวางกั้นความรัก และคำสัญญาของดวงดาราที่มีต่อสายฟ้าชายอันเป็นที่รัก ดวงดารายึดมั่นในคำสัญญารัก และเฝ้ารอคอยสายฟ้ามานานถึง ๒๔๒ ปี ดวงดาราเฝ้าแต่รอคอย แม้จะไม่รู้ว่าวันใดเธอจะได้พบกับสายฟ้า แต่เพราะเธอมีศรัทธาต่อความรัก และคำสัญญา ซึ่งเธอและสายฟ้ามีให้กันและกัน มันไม่ใช่คำสัญญารักแค่ชั่วชีวิต เพราะสำหรับดวงดารา คำมั่นสัญญานั้นเป็นนิรันดร์ และเธอก็ได้พบกับสายฟ้าหรืออัสนี ณ สถานที่ซึ่งเขาและเธอได้ให้คำสัญญาต่อกันไว้ แล้วดวงดาราก็ได้ประจักษ์ว่า ความรักคือการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ดวงวิญญาณของเธอจึงพ้นจากพันธนาการจากคำสัญญา แต่เธอยังมีความยึดมั่นในความรักที่เธอมีต่อสายฟ้า เธอรอสายฟ้ามานานถึง ๒๔๒ ปี ทำไมอีกแค่ชั่วอายุขัยของอัสนีหรือสายฟ้าในอดีต เธอจะรอต่อไปไม่ได้

ดวงดารามีชีวิตอยู่ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นกรุงศรีฯเป็นบ้านดีเมืองดี ผู้คนในขณะนั้นต่างเชื่อว่ากรุงศรีฯไม่มีวันล่มสลาย ครอบครัวของพระยาอนุชิตราชาบิดาของดวงดาราต้องแตกกระสานซ่านเซน เพราะสงครามซึ่งนำมาซึ่งความวิบัติ ความสูญเสีย การพลัดพราก และมันคือจุดเริ่มต้นของการรอคอย ของดวงวิญญาณดวงดารา

ทุกชีวิตของคนกรุงศรีฯในช่วงนั้น บางคนหวาดกลัวสงคราม บางคนต้องต้องหลบหนี บางคนต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้าย และบางคนก็ต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับศัตรู เพราะไม่ยอมสูญเสียชาติและแผ่นดินเกิดของพวกเขา เช่นพระยาอนุชิตราชา ซึ่งขอเอาชีวิตของตนป้องปกบ้านเมืองและพระเจ้าแผ่นดิน

ดอกแก้วน้องสาวของดวงดารา หญิงผู้ทำตัวเหี้ยมหาญเช่นตะวันพี่ชายที่เธอรัก เธอหัดการต่อสู้มาตั้งแต่อายุ ๖ ปี เธอเป็นคนใจร้อน ดุดัน เย่อหยิ่ง และตลอดชีวิตของเธอ ได้ฆ่าฟันและเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมากมาก เธอเลือกยืนหยัดอยู่เคียงข้างพระยาอนุชิตราชาบิดาของเธอ แล้วดอกแก้วก็เลือกจบชีวิตของตัวเอง เพราะยึดถือศักดิ์ศรีของตน โดยไม่คำนึงถึงถึงความรู้สึกที่รวดร้าวของไอ้ตาลใบ้ ชายที่เฝ้าจงรักและภักดีต่อเธอ

ตะวันพี่ชายของดวงดาราและดอกแก้ว นักรบแห่งกรุงศรีฯ ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง พร้อมด้วยสหายสนิทคือสายฟ้าและขนุน พวกเขาได้เข้าร่วมกับชาวค่ายบางระจัน เพื่อต้านศัตรูไม่ให้เข้ามาตีกรุงศรีฯ แล้วนักรบแห่งกรุงศรีฯทั้ง ๓ ก็ต้องหลั่งน้ำตาด้วยความสะเทือนใจและตื้นตันใจในความเสียสละของชาวค่ายบางระจัน พวกเขาไม่รีรอที่จะร่วมกับกองกำลังของพระยาตาก แหกวงล้อมเพื่อมาดหมายจะรวบรวมกำลังเพื่อเข้ามาช่วยกรุงศรีฯให้รอดพ้นจากการรุกรานของศัตรู แต่ อนิจจา..กรุงศรีฯต้องล่มสลายก่อนที่จุดมุ่งหมายจะประสบความสำเร็จ ตะวันเข้ามากู้กรุงศรีฯพร้อมทัพของพระยาตาก ในขณะที่พระยาอนุชิตราชาบิดาของเขาและดอกแก้วน้องสาวได้เสียชีวิตลง และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ต้องสูญเสียน้องสาวคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ ดวงดารา ซึ่งเสียชีวิตลงด้วยความตรอมใจในความรัก

สายฟ้าชายอันเป็นที่รักของดวงดารา เขาถูกเลี้ยงดูมาโดยเจ้าฟ้ากุสุมาวดีพระขนิษฐาของเจ้าฟ้าอุทุมพรและพระเจ้าเอกทัศน์ ชาติกำเนิดของเขาไม่มีผู้ใดอยากกล่าวถึง เขามีเพื่อนรักและเพื่อนตาย ๒ คนนั่นคือตะวันและขนุน เขาเป็นนักรบแห่งกรุงศรีฯ ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน และท้ายสุดเขาก็ใช้ความแค้นและความพยาบาท เข้าห้ำหั่นศัตรู ทุกครั้งที่เขาฟาดฟันดาบเขาไม่เคยไว้ชีวิตศัตรูเลยแม้แต่ชีวิตเดียว เพราะศัตรูที่เข้ามารุกรานแผ่นดินเกิด ทำให้เขาต้องสูญเสียดวงดาราเมียรักไป โดยไม่ได้อยู่ดูใจเธอในวาระสุดท้ายของชีวิต สายฟ้าเสียชีวิตในสนามรบในหน้าที่ ก่อนตายเขาพร่ำหาแต่ดวงดาราหญิงที่เขารักปานดวงใจ เขาได้กลับมาเกิดเป็นลูกของว่านตามวิบากกรรมของตัวเอง และเขาต้องเป็นผู้ปลดปล่อยดวงวิญญาณของดวงดาราซึ่งติดอยู่ในพันธนาการในคำสัญญาและเฝ้ารอคอยเขามานานแสนนาน

บุษราคัมลูกสาวคนเดียวของตะวันหรือหลวงสุริยากำจัด คือผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของดอกแก้ว ซึ่งดอกแก้วได้เขียนบันทึก เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของทุกชีวิตในตระกูลของพระยาอนุชิตราชา และความเป็นมาในสมัยปลายกรุงศรีฯ จนถึงวันสุดท้ายในชีวิตของดอกแก้ว บุษราคัมได้เขียนบันทึกบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ต่อจากบันทึกของดอกแก้ว เธอตั้งชื่อบันทึกนั้นว่า กงล้อแห่งกรรม ตามคำบอกกล่าวของตะวันหรือหลวงพ่อตะวันของเธอ ซึ่งออกบวชเพื่อต้องการเรียนรู้ถึงพระธรรมคำสั่งสอน และมีจุดประสงค์จะใช้หลักธรรมชี้นำให้ดอกแก้วหรือว่านน้องสาวของเขาให้พ้นจากวิบากกรรมที่มีติดตัวมา และเขาอยากปลดปล่อยดวงวิญญาณของดวงดารา ให้พ้นจากพันธสัญญารักซึ่งเธอยึดมั่นไว้จนไม่ยอมไปสู่ชาติภพ ดวงวิญญาณของดวงดาราต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะการรอคอยสายฟ้าสามีอันเป็นที่รักยิ่งของเธอ ให้มาพบเธอตามคำสัญญา ความพยายามของพระตะวันไม่สำริดผล เพราะดวงดารากล่าวว่า..

"ดวงดาราจะคอยพี่สายฟ้าเสมอ เฉกเช่น ดาวคอยฟ้า ตามสัญญา ตราบนิรันดร์"

..ชมชนก


ตอนที่ 1 หมายศาล

จักรยานยนต์กลางเก่ากลางใหม่จอดที่หน้าทาวเฮาส์หลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ในหมู่บ้านที่อยู่ชานเมืองกรุงเทพมหานคร คนขับที่ทำหน้าที่เป็นคนส่งเอกสารก้าวลงมาจากจักรยานยนต์พร้อมทั้งเดินมาที่หน้าบ้าน แล้วชะเง้อมองเข้ามาในรั้วและส่งเสียงร้องเรียกคนในบ้านว่า

“รับเอกสารด้วยครับ”

คนส่งเอกสารยืนคอยอยู่สักครู่และเมื่อไม่เห็นใครออกมารับเอกสารก็เริ่มหงุดหงิด ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงอากาศร้อนในปีนี้ มันร้อนเหลือเกินเพราะแสงแดดที่ร้อนแรง เขาต้องถอดหมวกกันน็อคออกเพราะใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ แล้วก็ตะโกนเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเก่า และเจือไปด้วยความไม่พอใจว่า

“รับเอกสารด้วยครับ”

คราวนี้ได้ผลเพราะเขาเห็นหญิงกลางคนที่มีรูปร่างผอมซีดเปิดประตูบ้านออกมา ใบหน้าของหญิงคนนั้นซูบตอบ ผมที่ยาวนั้นก็ยุ่งเหยิงจนคนส่งเอกสารแอบคิดด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า

“ท่าทางเหมือนคนบ้าเลยว่ะ ปล่อยผมซะยาวเฟื้อยแถมคงไม่เคยหวีผมเลยละมั้งผมเลยพันกันจนยุ่งขนาดนั้น ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เวรสูบบุหรี่ซะด้วยจะพูดกันรู้เรื่องป่าวหว่า งานนี้กูคงเหนื่อยแน่”

“เอกสารอะไร คุณ”

“หมายศาลครับ”

หญิงกลางคนยืนนิ่งไปพักหนึ่งพร้อมทั้งเม้มริบฝีปากเพราะความสะเทือนใจ และถามคนส่งเอกสารด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ว่า

“หมายศาลของใคร”

“หมายของคุณพิทักษ์ครับ”

“คน ๆ นี้ไม่ได้อยู่บ้านนี้แล้ว ฉันไม่ขอรับหมายศาล”

“แต่ เขาแจ้งที่อยู่ว่าอยู่ที่นี่ครับ”

“เขาไม่กลับมาที่นี่หลายเดือนแล้ว นู่นเขาอยู่ที่ระยองนู่น ไปส่งให้เขาที่นั้นไป๊ ส่งมาที่นี่เขาก็ไม่รับรู้อะไรหรอก มีหมายศาลส่งมาที่นี่ตั้ง ๔ ฉบับแล้ว แต่ไม่เคยถึงมือเขาเลยเพราะเขาไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”

คนส่งเอกสารพอมองออกว่าผู้หญิงกลางคนนี้คงเป็นเมียของนายพิทักษ์ เขาทำงานนี้มาเป็นปีแล้ว เหตุการณ์แบบนี้เขาเจอมาเยอะ เขารู้ดีว่าจะใช้วิธีไหนในการทำงานให้เสร็จโดยไม่ต้องเสียเวลา ถ้าไม่มีใครยอมรับหมายศาล เขาก็แค่ปิดหมายศาลที่หน้าบ้านแค่นี้ก็จบ แต่สารรูปของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาเกิดความเวทนาขึ้นมา เขาจึงยอมเสียเวลาพูดกับหญิงคนนั้น

“พี่ครับรับไปเถอะถ้าพี่ไม่รับผมต้องปิดหมายตามคำสั่งศาล ผมพอเข้าใจพี่นะ ทางธนาคารเขาสืบรู้มาว่าคุณพิทักษ์ยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่นี่ ยังไง ๆ เขาก็ต้องส่งหมายมาที่นี่อยู่ดีไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม ถ้าพี่ไม่รับหมายผมคงต้องปิดหมายที่หน้าบ้านพี่ มันจะให้พี่ลำบากใจมากกว่านี้นะครับ”

หญิงกลางคนแม้นจะกำลังเจ็บช้ำขมขื่นขนาดไหน แต่ก็ยังพอมีสติ และเห็นด้วยกับคำพูดของคนส่งเอกสาร หากบ้านโดนปิดหมายศาล เมื่อลูกทั้ง ๒ คน ของเธอกลับมาพบเห็นคงจะอายเพราะคำซุบซิบนินทาของเพื่อนบ้าน เธอจึงรับหมายศาลนั้นมาพร้อมทั้งเดินกลับเข้าไปในบ้าน ด้วยหัวใจที่สุมไปด้วยไฟแค้นและเจ็บช้ำที่สุด

วาสนาหรือว่านกระแทกตัวนั่งลงที่เก้าอี้และขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งด้วยมืออันสั่นเทา ว่านอ่านหมายศาลที่รับมาด้วยความรู้สึกชอกช้ำที่สุด นี่เป็นหมายศาลทวงหนี้จากธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้รายที่ 5 ซึ่งเกิดจากฝีมือของพิทักษ์สามีของว่าน ซึ่งว่านเคยรักและใช้ชีวิตร่วมกันมาถึง ๒๕ ปี ว่านเปิดเอกสารในหมายดูอย่างละเอียดจนถึงหน้าสุดท้าย แล้วว่านก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวใจ เมื่อในหมายระบุว่าหากพิทักษ์ไม่ชำระหนี้สิน บ้านที่ว่านและลูก ๆ อาศัยอยู่ต้องโดนยึด

“ใบแจ้งหนี้มันมาจากการไปรูดบัตรเครดิตซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ห้าง เฮอะ ของแบรนด์ทั้งนั้นเลย เหมือนหมายศาลที่เคยส่งมาที่บ้าน พิทักษ์หลงนักร้องคนนั้นซะหน้ามืดตามัว จนทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะตัณหาแท้ ๆ”

ว่าน ทั้งโกรธและเสียใจอีกครั้ง หลังจากที่เสียใจเพราะพิทักษ์สามีของตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่กันมาจนมีลูกด้วยกัน ๒ คน น้ำหนึ่งลูกสาวคนโตที่มีอายุได้ ๒๔ ปี ซึ่งเรียนจบปริญญาตรีแล้วและเพิ่งได้ทำงาน อัสนีลูกชายคนเล็กที่มีอายุได้ ๑๙ ปี ซึ่งกำลังเรียนวิศวะปี ๑ พิทักษ์นอกใจว่านและทำให้ครอบครัวเดือดร้อน เพราะสร้างหนี้สินด้วยการเป็นหนี้บัตรเครดิต เขาเอาเงินไปใช้จ่ายในการเที่ยวเตร่ตามประสาเพลย์บอย และเล่นการพนันทุกชนิดโดยเฉพาะการเล่นการพนันฟุตบอล แต่คราวนี้พิทักษ์ทำให้ว่านเสียใจมากและเครียดที่สุด เพราะพิทักษ์ก่อหนี้สินไว้มากและเจตนาทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้ว่าน ทั้งที่ว่านสุขภาพไม่ดีจนไม่สามารถทำงานได้ตั้งแต่ให้กำเนิดน้ำหนึ่งลูกสาวคนแรก ว่าน รีบกดมือถือไปถึงพิทักษ์ทั้ง ๆ ที่ว่านตั้งใจแล้วว่าจะไม่ขอพบหรือพูดคุยกับพิทักษ์อีกต่อไป เพราะการกระทำของพิทักษ์ในครั้งนี้ มันทำให้ว่านและลูก ๆ เดือนร้อน จนแทบจะไม่มีที่ซุกหัวนอน

ว่าน กดมือถือถึงพิทักษ์หลายหนแต่พิทักษ์ไม่ยอมรับสาย ว่านรู้ดีว่าพิทักษ์กำลังหนีจากความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ และทำให้ว่านแค้นจนเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งด้วยอาการป่วยด้วยโรคซึมเศร้าที่ว่านเป็นมาหลายสิบปี ว่านขว้างโทรศัพท์มือถือของตัวเองทิ้งแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น เพราะไม่รู้ว่าจะหาทางออกกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร ยิ่งคิดถึงลูก ๆ ว่านก็สะท้อนใจ และสงสารลูกมากเหลือเกิน ถ้าบ้านและทรัพย์สินอันน้อยนิดที่มีอยู่โดนยึด เพราะหนี้ที่พิทักษ์ก่อขึ้น ว่านและลูก ๆ คงต้องไปหาบ้านเช่าอยู่ ว่าน ทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เมื่อคิดถึงลูกทั้งสองคน

“น้ำและอัสคงเสียใจมากที่ต้องมีชีวิตแบบนี้ เราเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยที่ทำมาหากินไม่ได้แถมยังป่วยซะอีก เราช่างไร้ค่าเหลือเกิน แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมวะ”

ว่าน สิ้นหวังในชีวิตและดูถูกตัวเองอีกครั้ง...ว่าน ลุกขึ้นไปหยิบยานอนหลับที่อยู่ในห้องนอน และเดินลงมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ว่านเทยานอนหลับออกมาและนั่งนับจำนวนของยา

“มียาอยู่ ๓๐ กว่าเม็ด ถ้าเรากินยาจนหมดมันจะตายหรือเปล่า”

ว่าน ถามตัวเอง แล้วว่านก็ได้ยินเสียงที่อยู่ในหัวของตัวเองที่ ว่าน ได้ยินบ่อย ๆ ตอบมาว่า

“อาจไม่ตาย”

“ถ้า อย่างนั้นทำยังไงถึงจะตาย”

ว่าน ถามตัวเองอีกครั้งและก็ได้ยินเสียงที่อยู่ในหัวตอบมาว่า

“ทำโง่ไปได้ ก็กินยาสัก ๑๐ เม็ด แล้วเอามีดมากรีดที่ข้อมืดเอ็ง ซิ กรีดให้ตัดเส้นเลือดใหญ่ขาดไปเลย ทีนี้เอ็งคงตายสมใจแน่ ๆ ฮ่า ฮ่า”

เสียงยุยงให้ว่านฆ่าตัวตาย ดังขึ้นชัดเจน ว่านเห็นด้วยกับเสียงที่ได้ยินจากในหัวของตัวเอง ว่านกรอกยานอนหลับเข้าปากไป ๖ เม็ด และจุดบุหรี่สูบอีกมวนพร้อมทั้งนั่งรอให้ยาออกฤทธิ์

“กินแค่นี้ก่อน ขืนกินมากกว่านี้เดี๋ยวไม่มีสติพอที่จะหาเส้นเลือดที่มือเจอ ต้องหาอะไรมารัดข้อมือก่อนจะได้เห็นเส้นเลือดชัดๆ”

ว่าน มองไปเห็นผ้าแพรที่ใช้คาดเสื้อคลุมสีขาวของตัวเอง และเดินไปหยิบขึ้นมาพร้อมทั้งมองผ้าชิ้นนั้นและคิดว่า

“เหมาะเลย”

ว่าน เอาสายคาดเสื้อคลุมของตัวเองมาผูกที่ข้อมือจนแน่น และมองดูส้นเลือดสีเขียวที่ปูดขึ้นมาด้วยความพอใจ

“เห็นเส้นเลือดใหญ่ชัดแจ๋วเลย กรีดทีเดียวขาด”

ว่าน กินยาไปอีก ๔ เม็ด พร้อมทั้งอัดบุหรี่ตามอีก ๒ มวน ไม่นานว่านก็เริ่มมีสติเลอะเลือนเพราะฤทธิ์ของยา ว่านลุกขึ้นเข้าไปในห้องน้ำและเอามีดโกนหนวดของอัสนีลูกชายคนเล็กของว่านออกมา ว่านพยายามแกะใบมีดออกแต่ทำไม่ได้

“เวร มีดโกนหนวดของอัสมันเป็นแบบสำเร็จรูปนี่หว่าถอดใบมีดไม่ได้ ต้องหาอะไรทุบให้แตกใบมีดจะได้หลุดออกมา”

ว่าน เดินโซเซมาที่ครัวและวางมีดโกนหนวดอันนั้นไว้บนเค้าน์เตอร์ และหยิบมีดเล่มใหญ่ทุบไปที่มีโกนหนวดอย่างแรง เพราะสติสัมปชัญญะของว่านเริ่มลางเลือนจึงพลาด มีดเล่มนั้นจึงไปโดนเอากำไลหยกที่แม่ของว่านให้ไว้และใส่อยู่ที่ข้อมือซ้ายแตกเป็นชิ้น ๆ แต่ว่านยังไม่ละความพยายามและทุบมีดโกนจนแตกในที่สุด ว่านหยิบใบมีดโกนที่บางและคมกริบขึ้นมาถือด้วยมือขวา พร้อมทั้งยกมือซ้ายขึ้นมาเพื่อจะใช้ใบมีดโกนนั้นกรีดข้อมือ เพื่อฆ่าตัวตายตามที่ตั้งใจไว้ มือที่ถือใบมีดโกนของว่านสั่นเล็กน้อย ว่าน อดใจหายไม่ได้เมื่อคิดถึงลูกทั้ง ๒ คน

“น้ำ อัส อย่าเสียใจนะถ้าแม่ตาย แม่ทนมีชีวิตอยู่กับความทุกข์ทรมานต่อไปไม่ได้จริง ๆ แม่เป็นคนอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ แม่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่ แม่รักพวกหนูมากนะ”

ว่าน หลับตาลงเมื่อคิดถึงลูกทั้ง ๒ คน เพื่อระลึกถึงใบหน้าของลูก ๆ ของว่านอีกครั้งก่อนจะไม่มีลมหายใจ แต่ ว่านกลับมองเห็นภาพดวงตาที่เข้มจัดของอัสนีลูกชายคนเล็กขึ้นมาในมโนภาพ และแววตานั้นเหมือนกำลังจะส่อให้ว่านรู้ถึงความโกรธเคือง กึ่งเสียใจ ในการตัดสินใจฆ่าตัวตายของว่านในครั้งนี้ ว่าน สะบัดหัวเพื่อพยายามลบมโนภาพที่เห็น แต่มันไม่ได้ผล ว่านยังคงมองเห็นภาพนั้นชัดเจนเช่นเดิม แต่ว่านไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย ว่าน จรดมีดโกนที่ข้อมือของตัวเอง แต่ ว่านก็ต้องหยุดเพราะได้ยินเสียงที่ดังมาจากในหัวของตน คราวนี้ว่านได้ยินเสียงนั้นชัดเจนและเป็นเสียงที่ว่านรู้สึกคุ้นเคย และเจือไปด้วยความเมตตา แต่ว่านคิดไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร

“ดอกแก้ว เจ้าอย่าทำเช่นนี้ การที่เจ้าคิดจะฆ่าตัวตายเพื่อหวังว่าจะหนีความทุกข์ที่มีนั้นเจ้าคิดผิด แม้เจ้าตายไปวิบากกรรมของเจ้าก็ยังตามติดตัวเจ้าต่อไปอีก จงคิดถึงลูก ๆ ของเจ้าให้ดีหนา หากพวกเขากลับมาเจอภาพเจ้านอนตายจมกองเลือดพวกเขาจะเสียใจขนาดไหน และบางทีพวกเขาอาจเสียใจจนต้องฆ่าตัวตายตามเจ้าเช่นกัน โดยเฉพาะลูกชายของเจ้า จงอย่าได้ทำให้คนที่รักเจ้าต้องทำบาปทำกรรมเพราะการตายของเจ้าเลย เชื่ออาตมาเถิดหนา แล้วอย่าไปเชื่อคำยุยงของไอ้สมมันหนา มันอาฆาตเจ้านักที่เจ้าฆ่ามันตาย มันจึงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเจ้า”

แม้นว่านกำลังมีสติที่ลางเลือน และชินกับการที่ได้ยินเสียงในหัวของตัวเองมานานแล้วก็ตาม หมอที่ให้การรักษาว่านอยู่เคยบอกว่า คนที่เป็นโรคซึมเศร้าแบบว่านมักมีอาการหูแว่ว แต่เสียงที่ว่านได้ยินในตอนนี้มันชัดเจนจนเหมือนเป็นการพูดคุยจากคนที่มีตัวตนเหลือเกิน แต่ในน้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความเมตตาและปราณี ว่านเหลียวมองไปรอบตัวพร้อมทั้งพูดขึ้นว่า

“ใคร อยู่ไหนทำไมฉันมองไม่เห็น”

“ดอกแก้ว เจ้ามองไม่เห็นอาตมาดอก เพราะมันยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้เจ้าได้ยินแต่เสียงของอาตมาเท่านั้น และจงคิดตามคำของอาตมาให้ดีหนา”

ว่าน คิดตามเสียงที่ได้ยินและเธอก็ต้องร้องไห้ออกมา แม้ตอนนี้ว่านแทบจะไม่มีสติเพราะฤทธิ์ของยานอนหลับที่กินไปถึง ๑๐ เม็ด แต่ความรักที่ว่านมีให้แก่ลูกทั้ง ๒ คน นั้นอยู่ในใจของว่านเสมอ ว่านคิดตามเสียงที่ได้ยินจากหัวของตัวเอง และเห็นด้วยทุกอย่าง

“จริงซินะ ถ้าอัสกลับมาจากมหาวิทยาลัยแล้วเจอเราในสภาพนี้อัสคงเสียใจมาก เรายังตายไม่ได้ ถ้าเราตายไปลูก ๆ จะทำยังไงกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น”

ว่าน กรีดร้องขึ้นมาด้วยความรู้สึกสับสน ว่านอยากตายหนีจากความทุกข์ทรมานของตัวเอง แต่ ว่านไม่อยากทำร้ายจิตใจของลูกที่ว่านรักสุดรักทั้ง ๒ คน ว่านจึงกรีดมีดลงที่แขนซ้ายเป็นแนวยาวลงมาด้วยมีดโกนหลายครั้ง ว่านไม่ได้กรีดเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือของตัวเองตามที่ตั้งใจไว้ ว่าน ทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกสติที่กำลังจะขาดไปให้กลับคืนมาด้วยความเจ็บปวด ใช่...ว่านกลัวว่าถ้าขาดสติว่านคงฆ่าตัวตายไปจริง ๆ เลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่แขนซ้ายของว่าน และหยดลงบนพื้น ว่านเดินโซเซมาที่กลางห้องและล้มลงหมดสติเพราะฤทธิ์ยา และก่อนที่สติของว่านจะหายไป ว่านมองเห็นภาพของอัสนีลูกชายคนเล็กของว่านเปิดประตูบ้านเข้ามา พร้อมทั้งวิ่งตรงมาที่ว่านและพูดว่า

“แม่ครับ แม่เป็นอะไร”

อัสนี ตกใจมากเมื่อเปิดประตูบ้านและเห็นสภาพของแม่ เขารีบวิ่งไปเพื่อช่วยเหลือแม่ของเขา แต่...ช้าไป แม่ของเขาล้มลงจนหัวฟาดกับโต๊ะอาหารและนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นห้อง อัสนีรีบประคองแม่ไว้ทันทีที่มาถึงตัว อัสนีรู้สึกกลัวจับใจที่เห็นใบหน้าของแม่เต็มไปด้วยเลือด และที่แขนซ้ายมีเลือดไหลจนเลอะเสื้อผ้าของว่าน อัสนี รีบอุ้มร่างของแม่ที่หมดสติออกมาจากบ้านพร้อมทั้งตะโกนเรียกเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเสียงดังว่า

“ลุงพร ช่วยพาแม่ผมไปโรงพยาบาลที แม่เลือดไหลเต็มไปหมดและไม่มีสติเลยครับ”

ลุงพร เพื่อนบ้านรีบเดินออกมาและเมื่อเห็นสภาพของว่านแกก็หน้าเสีย และรีบถอยรถออกมาแล้วบอกกับอัสนีด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า

“อัส รีบอุ้มแม่ขึ้นรถ ลุงจะพาไปส่งโรงพยาบาล”

อัสนี อุ้มว่านขึ้นรถทันที ในวัย ๑๙ ปี อัสนีไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนจึงตกใจจนตัวสั่นและทำอะไรไม่ถูก ลุงพร พอมองออกเพราะมีวัยวุฒิที่สูงกว่าจึงแนะนำอัสนีว่า

“อัส มองหาแผลของว่านซิว่าเกิดที่ตรงไหน แล้วเอาผ้าเช็ดหน้ากดแผลห้ามเลือดไว้ก่อน”

อัสนี รีบทำตามที่ลุงพรแนะนำ และพบว่าเลือดที่ไหลออกจนชุ่มตัวแม่เขานั้น เกิดจากบาดแผลที่แขนข้างซ้ายของว่าน และเลือดที่ไหลออกมาจนนองใบหน้าของว่าน เกิดจากบาดแผลที่หัวคิ้วซ้าย อัสนีรีบเอาผ้าเช็ดหน้ากดแผลที่คิ้วซ้ายของว่านไว้เพื่อห้ามเลือด และตอบลุงพรด้วยเสียงสั่นๆว่า

“ลุงพร คิ้วซ้ายของแม่แตกและมีแผลที่แขนซ้ายด้วยครับ จะทำยังไงดีครับลุง ผมมีผ้าเช็ดหน้าแค่ผืนเดียวเอง”

“ที่หลังรถลุงมีเสื้อยืดของลุงอยู่ตัวหนึ่ง อัสเอามาพันแผลที่แขนของว่านก่อนแล้วกัน ลุงจะรีบขับรถให้ไปถึงโรงพยาบาลไว ๆ อัสไม่ต้องตกใจ ลุงคิดว่าแม่ของอัสคงไม่เป็นอะไรมากนักหรอก”


ตอนที่ 2 หูแว่ว

ว่าน แปลกใจที่รู้สึกว่าขณะนี้ว่านกำลังอยู่ในพระนครศรีอยุธยา แต่ไม่ใช่อยุธยาในเวลาปัจจุบัน เพราะทิวทัศน์บ้านเรือนต่าง ๆ และกายแต่งกายของผู้คนที่นั่น ช่างแตกต่างจากที่ว่านเคยเห็น ว่านรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เห็นภาพที่อยู่รอบ ๆ ตัว เพราะขณะนี้อยุธยากำลังเกิดไฟไหม้ไปทั่วทุกแห่ง และแม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ในอยุธยากลับสว่างโพลงเพราะแสงของกองไฟที่ไหม้ไปทั่วเมือง ว่าน หัวใจเต้นระทึกเมื่อได้เห็นทหารของกรุงศรีและชาวบ้านกำลังต่อสู้กับศัตรูที่มีหน้าตาเหี้ยมโหด เสียงดาบกระทบกันดังไปทั่ว บางครั้งว่านก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจนหูอือ ว่าน เห็นผู้หญิงไทยที่แต่งตัวเหมือนคนสมัยโบราณ เพราะนุ่งโจงกระเบนและห่มผ้าแถบหลายคน วิ่งหนีทหารของศัตรูที่มีดาบอยู่ในมือ และกำลังวิ่งไล่ล่า ผู้หญิงบางคนอุ้มลูกน้อยไว้แนบอกและวิ่งหนีเอาชีวิตรอด พร้อมทั้งเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือกันระงม บางคนถูกฆ่าฟันจนล้มตายเลือดไหลนองไปทั่ว เสียงโห่ร้องของศัตรูที่ก้องดังเมื่อบุกเข้ามาในอยุธยา ทำให้ว่านหวาดกลัวจนสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ว่านรู้แต่ว่าต้องวิ่งหนี และต้องวิ่งหนี...เมื่อว่านออกวิ่ง ว่านก็มองเห็นว่าเบื้องหน้าของว่านมีหญิงสาวแห่งกรุงศรีคนหนึ่งกำลังวิ่งนำหน้าว่านอยู่ หญิงสาวคนนั้นใส่สไบสีเหลืองจำปา และนุ่งผ้าสีแดงเข้ม

ว่าน รู้แต่ว่าต้องวิ่งตามหญิงสาวคนนั้นไป หญิงสาวคนนั้นว่องไวเหลือกเกิน แต่วานก็วิ่งตามมาติด ๆ จนว่านรู้สึกว่าชายสไบสีเหลืองจำปานั้นปลิวอยู่ตรงหน้าใกล้แค่เอื้อม แต่ เมื่อว่านยกมือขึ้นเพื่อจะดึงสไบของหญิงสาวคนนั้น เพื่อต้องการขอความช่วยเหลือ ว่านกลับมองไม่เห็นมือของตัวเอง ว่านแปลกใจจนต้องก้มมองดูตัวเอง แล้วว่านก็ต้องยิ่งประหลาดใจที่มองไม่เห็นมือและร่างกายของตัวเอง แม้แต่เงาของตัวเองว่านก็มองไม่เห็น ว่าน รู้สึกว่าว่านไม่มีตัวตน มันเป็นไปได้ยังไง ว่านได้แต่ถามตัวเอง

ว่านไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรต่อ เมื่อว่านได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งตามมาด้านหลัง ว่านหันกลับไปมองดูก็พบว่ามีทหารของศัตรูที่ใส่เสื้อแขนยาวถึงข้อศอก มีผ้าคาดอยู่ที่หัวและนุ่งโสร่งสั้นแค่เข่า กำลังถือดาบวิ่งตามมา ๒ คน ว่านเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตของศัตรูทั้ง ๒ คน และรอยสะแหยยิ้มอย่างหื่นกระหาย ว่าน หวาดกลัวจนหัวใจเต้นระรัว และว่านก็สัมผัสได้ว่า หญิงสาวที่วิ่งอยู่เบื้องหน้าของว่านก็หวาดกลัวไม่น้อยไปกว่าว่านเลยสักนิดเดียว ว่านเห็นทหารของศัตรูได้คว้าสไบสีเหลืองจำปาของหญิงสาวคนนั้นไว้ได้ ว่านจึงร้องตะโกนออกไปว่า

“อย่าให้มันจับตัวได้ ไม่เช่นนั้นพวกมันจะข่มเหงและฆ่าเราจนตาย”

ว่าน ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนนั้นดังขึ้นมา และหญิงสาวคนนั้นก็สะบัดตัวอย่างแรงจนสไบหลุดจากมือของข้าศึก ว่านรู้แต่ว่าหญิงสาวคนนั้นกำลังมองหาใครบางคนเพื่อขอความช่วยเหลือ ว่านเองก็มองหาใครคนนั้นเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ว่านไม่รู้ว่าใครคนนั้นคือ ใคร...ว่านอยากจะวิ่งขึ้นนำหน้าผู้หญิงคนนั้นเพื่อจะได้ถามว่า

“นี่...เราสองคนกำลังมองหาใครหรือ”

แต่...ว่าน ไม่สามารถวิ่งนำหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ แม้ว่านจะเร่งฝีเท้าให้ไวเท่าไหร่ก็ตาม ว่านจึงมองไม่เห็นใบหน้าของหญิงคนนั้น ว่านเห็นแต่เพียงด้านหลัง และรู้แต่ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นคนร่างเพรียวและสูงกว่าผู้หญิงไทยทั่ว ๆ ไป ผมของหญิงสาวคนนั้นดำและยาวเหลือเกิน ทันใดนั้นหญิงสาวคนนั้นก็มองเห็นใครคนนั้น...คนที่หญิงสาวคนนั้นตามหา ว่านมองตามไปก็พบว่าเป็นทหารหนุ่มของกรุงศรี ชายผู้นั้นมีร่างกายบึกบึน ใส่เสื้อแขนกุดผ่าอกสีแดงที่เขียนอักขระไว้ด้วยหมึกสีดำ ผ้าที่นุ่งหยักรั้งไว้ก็เป็นสีแดงเช่นสีเสื้อ และกำลังมีท่าทีว้าวุ่น มือของชายคนนั้นกำดาบไว้แน่นทั้งสองมือ เมื่อชายผู้นั้นหันมาเห็นหญิงสาวที่ใส่สไบสีจำปา แววตาของชายผู้นั้นก็เจือไปด้วยความดีใจ แต่แล้วแววตาของชายผู้นั้นต้องเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อหญิงสาวคนนั้นร้องสั่งว่า

“...ช่วยข้าด้วย จงเอาดาบของเจ้าปลิดชีวิตข้าเสีย ก่อนที่ไอ้พวกศัตรูมันจะข่มเหงข้า...”

ว่าน ฟังไม่ถนัดว่าหญิงสาวคนนั้นพูดอะไรต่อ เพราะเสียงร้องระงมของผู้คนจำนวนมาก เสียงกระทบกันของดาบที่เกิดจากการต่อสู้ และเสียงปืน มันดังกลบไปหมดจนจับใจความได้เพียงแค่นี้ คำพูดของหญิงสาวที่ใส่สไบสีจำปา ทำให้ทหารแห่งกรุงศรีคนนั้นตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก และได้แต่ยืนนิ่ง แล้วสิ่งที่ว่านคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาวที่ใส่สไบสีจำปาคนนั้นวิ่งเข้าไปถึงตัวทหารแห่งกรุงศรี และจับมือของทหารคนนั้นที่กำดาบไว้แน่นขึ้นมา แล้วหญิงสาวที่ใส่สไบสีจำปาก็ปักอกของตนเข้ากับดาบ ว่านร้องห้ามด้วยความตกใจ

“อย่า...”

ว่านไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้ เพราะว่านรู้สึกเจ็บปวดที่กลางอก มันเจ็บและทรมานแสนสาหัส ว่านไม่เคยรู้สึกเจ็บมากขนาดนี้มาก่อน แต่น่าแปลก...ที่ว่านกับรู้สึกคุ้นเคยกับความเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้น และว่านรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย เพราะลมหายใจของตัวเองเริ่มแผ่วลง

แล้ว...ภาพทุกอย่างที่ว่านเห็นก็หายวับไป เสียงร้องระงมของผู้คน เสียงโห่ร้องที่น่ากลัว และเสียงของดาบที่กระทบกันเพราะการสู้รบหายไปหมด มีแต่ความเงียบ แสงเพลิงที่เกิดจากเปลวไฟที่ศัตรูเผากรุงศรีที่สว่างโพลงอยู่ในตาของว่านเมื่อครู่หายวับไปทันที ว่านรู้สึกว่าตัวเองกำลังจมอยู่ในความมืดมิด แล้วร่างกายของว่านก็หมุนเป็นเกลียว เหมือนถูกความมืดและความเงียบที่น่ากลัวนั้นดึงดูดให้จมดิ่งไปเรื่อย ๆ ว่านรู้สึกเหมือนว่ากำลังตกนรก แล้วว่านก็ได้ยินเสียงของผู้ชาย...ซึ่งว่านเคยได้ยินเสมอจากในหัวของว่านพูดกับว่าน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ก้องกังวานอยู่ในหัว ว่า

“นี่...คือ อกุศลกรรมของเจ้าที่เคยก่อเอาไว้ เจ้าแก้ว ชาตินี้เจ้าจงอย่าได้ก่อกรรมเช่นนี้อีกหนา”

ว่าน สะดุ้งตื่นขึ้น ร่างของว่านชุ่มไปด้วยเหงื่อและหัวใจก็เต้นแรงเหมือนไปวิ่งมาจนเหนื่อย ว่านยกมือขึ้นกุมที่อกซ้ายของตัวเอง เพราะยังรู้สึกเจ็บแปลบอยู่บ้าง แล้วว่านก็ค่อย ๆ รู้ตัว เมื่อว่านลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นว่าขณะนี้ว่านกำลังนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล ซึ่งว่านได้รับการรักษามานาน ว่านบอกกับตัวเองว่า

“เรา ฝันร้ายอีกแล้ว มันเป็นความฝันบ้า ๆ ที่ฝันซ้ำซากมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก”

ว่าน มองเห็นอัสนีลูกชายคนเล็กที่ว่านแสนรักซึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง และรีบเข้ามาเกาะขอบเตียงพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ ว่า

“แม่ฟื้นแล้ว อัสดีใจจังครับ หมอบอกว่าแม่กินยานอนหลับมากไป แม่เลยหมดสติแล้วล้มลงจนหัวฟาดกับโต๊ะอาหารจนคิ้วแตก หมอต้องเย็บแผลให้ ๕ เข็ม ส่วนแผลที่แขนซ้ายหมอไม่ได้เย็บให้ครับเพราะไม่ลึกมาก แม่รู้สึกยังไงบ้างครับ ทำไมแม่เหงื่อออกท่วมตัวแบบนี้ แล้วแม่เจ็บหน้าอกหรือครับถึงได้เอามือกุมหน้าอกอย่างนั้น อัสจะไปบอกพยาบาลให้ตามหมอมาดูอาการแม่นะครับ”

“อัส แม่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แม่แค่ฝันร้ายเหมือนที่เคยฝันบ่อย ๆ เท่านั้นเอง”

“อ้อ ความฝันที่แม่เคยฝันถึงบ่อย ๆ ใช่ไหม อัสจำได้แล้วเพราะเคยได้ยินแม่ละเมอร้องกรี๊ด ๆ แล้วเอามือกุมหน้าอกทุกครั้งแล้วแม่ก็จะบอกว่าเจ็บที่หน้าอกมาก พี่น้ำเพิ่งกลับไปบ้านเมื่อตอนเช้าเพราะต้องไปทำงาน เราสองคนตกใจและเป็นห่วงแม่มากครับ ที่แม่ทำร้ายตัวเองแบบนี้”

“อัส แม่ขอโทษที่ทำให้ลูก ๆ ตกใจและเดือดร้อน เมื่อวานมีหมายศาลมาที่บ้าน แม่โทรไปหาพ่อเพื่อให้เขาเคลียร์เรื่องนี้แต่เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ แม่กลุ้มใจมากจริง ๆ นะอัส ในหมายบอกว่าถ้าไม่รีบใช้หนี้ทางแบงค์จะมายึดบ้านของเรา แม่เลยคิดอยากตายไปซะ เพราะแม่ไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ แม่สมเพชตัวเองที่เหมือนเป็นคนไร้ค่าเพราะป่วยจนทำมาหากินเหมือนคนอื่นไม่ได้ แม่ทนมีชีวิตอยู่ถึงวันที่บ้านของเราโดนยึดไม่ได้ ถ้าวันนั้นมาถึงน้ำและอัสคงต้องเสียใจมากใช่ไหมลูก”

“อัส รู้เรื่องหมายศาลนั้นแล้วครับเพราะพี่น้ำเล่าให้ฟังตอนกลับจากไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน แม่ครับแม่ไม่ต้องกังวลว่าอัสกับพี่น้ำจะเสียใจหรืออับอายชาวบ้าน ถ้าหากบ้านโดนยึดพวกเราก็ไปหาบ้านเช่าอยู่กันก็ได้นี่ครับ”

“อัสกับน้ำไม่อายเพื่อนหรือที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้”

“พี่น้ำกับอัสไม่เห็นว่ามันจะน่าอายตรงไหนที่ต้องไปเช่าบ้านอยู่ มีคนในหมู่บ้านเรามากมายที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่า พวกเขาอยู่ได้ทำไมอัสกับพี่น้ำจะอยู่ไม่ได้ครับแม่”

“แต่ คนอื่นเขาจะคิดยังไงถ้าเห็นเราถูกยึดบ้านเพราะติดหนี้แบงค์”

“ช่างเขาซิครับแม่ว่าจะคิดยังไง เราไปห้ามความคิดของใครไม่ได้หรอก ถ้าเขาจะดูถูกเรามันก็เรื่องของเขา”

“แต่แม่ไม่มีวันยอมให้ใครมาดูถูก เรามีศักดิ์ศรีนะอัส และแม่กลัวว่าลูกจะอายเพื่อนๆ”

“ฮึ คนที่น่าละอายมากที่สุดอัสว่าควรจะเป็นพ่อมากกว่านะ เพราะเขาเป็นคนก่อหนี้สินที่ไม่น่าจะเกิด พวกเราไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี่ครับ แม่อย่าไปคิดมากเลย”

“แม่แค้นใจมากเรื่องที่พ่อของอัสไม่ยอมรับโทรศัพท์ เขาส่อเจตนาให้เห็นว่าเขาจะปัดความรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ แม่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นแก่ตัวของเขา”

ก่อนที่อัสนีจะพูดอะไรต่อ หมอพนาที่เป็นจิตแพทย์ซึ่งได้ดูแลว่านมาตั้งแต่ว่านป่วยได้เปิดประตูห้องเข้ามา หมอพนามองมาที่ว่านด้วยสายตาอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แต่ว่านต้องหลบสายตาหมอ เพราะว่านมองออกว่าในแววตาที่อ่อนโยนของหมอนั้นมีแววตำหนิปนอยู่ด้วย

“คุณวาสนา หมอดีใจที่คุณได้สติแล้ว แต่หมอมีเรื่องต้องคุยกับคุณอย่างจริงจังนะครับ”

อัสนี ลุกขึ้นและทำท่าจะออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้แม่ของตนและหมอได้พูดคุยกันตามลำพัง แต่หมอพนาได้เอ่ยปากห้ามไว้

“คุณควรอยู่ฟังเรื่องนี้ด้วยเพราะหมออยากให้คุณเข้าใจอาการของแม่คุณ เพื่อต่อไปจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

“ครับคุณหมอ”

“คุณวาสนา ที่คุณหมดสติจนล้มหัวแตกและทำร้ายตัวเอง เป็นเพราะคุณกินยานอนหลับเกินกว่าที่หมอสั่ง ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ ตอนนั้นฉันเครียดมากเลยอยากหลับ คือ...ฉันกลุ้มใจและหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้”

“คุณวาสนา ถ้าคุณแค่อยากหลับเพื่อผ่อนคลายจากความเครียดที่มีคุณกินยาแค่ ๒ เม็ดก็หลับแล้ว แต่นี่คุณกินไปตั้ง ๑๐ เม็ด หมอว่าคุณไม่ใช่แค่อยากหลับเท่านั้น คุณเจตนาจะนอนหลับเพื่อไม่อยากตื่นมาอีกมากกว่า”

ว่าน นิ่งเพราะไม่รู้ว่าจะหาข้อแก้ตัวอะไรได้ และว่านรู้สึกผิดต่อหมอพนา หมอพนาเป็นหมอที่ได้ให้การรักษาว่านมาตั้งแต่เริ่มป่วยจึงเข้าใจถึงปมในใจของว่าน และคอยแนะนำให้ว่านพบทางออกที่ดีและถูกต้องมาตลอด การที่ว่านคิดฆ่าตัวตายในครั้งนี้นั้นแสดงว่าว่านไม่ทำตามคำแนะนำของหมอพนาเลย

“แผลที่แขนของคุณมันให้คำตอบกับหมอแล้วว่าคุณตั้งใจจะทำอะไร หมอขอบอกกับคุณอีกครั้ง การที่คุณคิดสั้นแบบนี้มันไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่มันคือการหนีปัญหาต่างหาก คุณวาสนา ที่หมอให้ยานอนหลับกับคุณเพราะหมอเห็นว่าคุณมีปัญหานอนไม่หลับ และหมอขอย้ำว่าถ้าคุณทำแบบนี้อีก หมอจะไม่จ่ายยานอนหลับให้กับคุณต่อไปอีกแล้ว หมอบอกกับคุณทุกครั้งที่คุณมารับการรักษาว่า จงมีสติเสมอไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเข้ามาในชีวิตคุณก็ตาม หากคุณไม่มีสติแล้วคุณจะเกิดปัญญาได้ยังไง หมอหวังว่าต่อไปคุณคงไม่แก้ปัญหาแบบไร้สติเช่นนี้อีก”

“หมอคะ ฉันขอโทษที่ทำและคิดแบบนี้ และทำให้หมอไม่สบายใจ แต่ ฉันหาทางออกไม่ได้จริง ๆ ปัญหาที่เกิดกับฉันในตอนนี้มันทำให้ฉันทุกข์มากเหลือเกินจนไม่อยากมีชีวิตอยู่”

“หมอพอเข้าใจและเห็นใจคุณกับปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ แต่หมอไม่เห็นด้วยที่คุณคิดจะหนีปัญหาแบบนี้ หมอถามจริง ๆ เถอะคุณไม่คิดบ้างหรือว่าลูก ๆ ของคุณที่อยู่ข้างหลังจะทุกข์ทรมานใจแค่ไหน คุณบอกหมอเสมอว่าคุณรักลูกมาก แล้วคุณอยากเป็นคนทำร้ายจิตใจคนที่คุณรักหรือคุณวาสนา”

“ฉันได้ยินเสียงในหัวบอกกับฉันเหมือนที่หมอบอก ฉันเลยล้มเลิกที่จะหนีปัญหา...ตามที่ตั้งใจไว้ ฉันจึงตัดสินใจทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกสติคืนมา”

“คุณมีอาการหูแว่วอีกแล้วหรือ”

“ฉันคิดว่าเสียงที่ได้ยินคราวนี้ไม่ใช่แค่อาการหูแว่วเหมือนที่หมอเคยบอก เพราะฉันได้ยินมันชัดเจนเหมือนมีคนพูดด้วยฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงที่ได้ยินนะหมอ แต่ฉันนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากไหน และคราวนี้เสียงนี้พูดกับฉันยาวเป็นเรื่องเป็นราวและจับใจความได้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง และที่ทำให้ฉันแปลกใจก็คือ เขาเรียกฉันด้วยชื่ออื่น”

“อืม เขาเรียกคุณว่าอะไร”

“เขาเรียกฉันว่า ดอกแก้ว ค่ะหมอ”

“หมอว่าคุณเกิดอาการหูแว่วเหมือนที่เคยเป็นนั่นแหละ และอาจจะกำลังมึน ๆ เพราะฤทธิ์ยานนอนหลับเลยได้ยินเสียงอะไรเพี้ยน ๆ ไป คุณวาสนา ถ้าคุณป่วยจนเป็นอันตรายกับตัวเอง หมออาจต้องรักษาคุณด้วยการใช้ไฟฟ้า ซึ่งหมอไม่อยากทำเลยเพราะมันมีผลข้างเคียงมาก และหมอว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จริง ๆ แล้วคุณจะหายจากโรคซึมเศร้านั้นมันมีทางออกที่ดีกว่าการรักษาด้วยไฟฟ้า และเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดที่สุดเพราะแก้ที่ต้นเหตุ นั่นคือคุณต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง และอย่าอ่อนไหวไปกับอารมณ์ของตัวเอง หมอรักษาคุณมานานจนรู้ดีว่าคุณพอมีความคิดและมีเหตุผลอยู่บ้าง ถ้าคุณพยายามทำใจให้เข้มแข็งเหมือนที่หมอบอกคุณบ่อย ๆ แต่ ถ้าคุณคิดว่าจิตใจคุณไม่เข้มแข็งพอและยอมแพ้กับปัญหาของคุณเหมือนครั้งนี้ หมอก็คงต้องรักษาคุณด้วยการใช้ไฟฟ้า เรื่องนี้หมอขอให้คุณกลับเอาไปคิดทบทวนดู และปรึกษากับลูก ๆ ของคุณให้ดีก่อน และพรุ่งนี้หากไม่มีอาการอะไรแทรกซ้อน หมออนุญาตให้คุณกลับบ้านได้ แล้วเดือนหน้าคุณค่อยกลับมาพบหมออีกครั้ง เพื่อปรึกษากันถึงขั้นตอนการรักษาต่อไป”

สนุกมั้ย????
มีต่ออีกยาว....................................................................................................................

ขอขอบพระคุณที่ติดตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้

..ชมชนก

เพลง..คำหวาน (จากภาพยนตร์เรื่อง โหมโรง)
ดูต่อเนื่อง ลากกลับมาที่ 0:00:00 จ้า...
0:01:40 แรกพบ, 00.08.07 คางคกขอบ, 0:14:58 โหมโรงประเดิมชัย,
0:18:41 โหมโรงอัฐมบาท, 0:24:46 ลาวดวงเดือน, 0:28:54 ต้นวรเชษฐ์,
0:47:30 กระต่ายเต้น, 0:50:28 คำหวาน, 1:17:44 โหมโรงจีนตอกไม้, 1:23:52 ชัยชนะ,
1:25:07 ความหวัง, 1:30:23 แสนคำนึง, 1:33:24 ความหวัง, 1:35:39 อัศจรรย์..อัศจรรย์
..ทั้งเรื่องเพลงไพเราะทุกเพลง..

ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดสุวรรณดาราราม ราชวรวิหาร ต.หอรัตนไชย จ.พระนครศรีอยุธยา

ภาคผนวก

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าดอกเดื่อ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ อันประสูติแต่กรมหลวงพิพิธมนตรี(พระพันวัสสาน้อย) พระมารดาของพระองค์สืบเชื้อสายมาจากสกุลพราหมณ์บ้านสมอพลือ ที่มีต้นสกุลมาจากเมืองรามนคร มัชฌิมประเทศ

ต่อมาได้รับการสถาปนาให้ทรงกรมเป็นกรมขุนพรพินิต พระองค์มีพระเชษฐาร่วมพระราชมารดา คือ เจ้าฟ้าเอกทัศ(กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) และมีพระเชษฐภคินีและพระขนิษฐาร่วมพระมารดา 6 พระองค์ ได้แก่ เจ้าฟ้าประภาวดี เจ้าฟ้าประชาวดี เจ้าฟ้าพินทวดี เจ้าฟ้าจันทวดี เจ้าฟ้ากษัตรี และเจ้าฟ้ากุสุมาวดี

พระเจ้าบรมโกศ และ พระพันวสาน้อย หรือ กรมหลวงพิพิธมนตรี มีพระราชบุตร 2 พระองค์ และพระราชบุตรี 6 พระองค์ คือ
เจ้าฟ้าประภาวดี
เจ้าฟ้าประชาวดี
เจ้าฟ้าพินทวดี
เจ้าฟ้าเอกทัศ(กรมขุนอนุรักษ์มนตรี, สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์)
เจ้าฟ้าจันทวดี
เจ้าฟ้ากษัตรี
เจ้าฟ้ากุสุมาวดี
เจ้าฟ้าดอกเดื่อ(กรมขุนพรพินิต)

สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือ พระเจ้าเอกทัศ มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าเอกทัศ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 33 พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2301-พ.ศ.2310 ต่อมาเจ้าฟ้าได้รับการสถาปนาให้ทรงกรมเป็นกรมขุนอนุรักษ์มนตรี

* * * * *

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
หรือ (บุญมา, นายสุดจินดา, พระมหามนตรี, พระยาอนุชิตราชา, พระยายมราช,
เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช, สมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล)

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท หรือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระนามเดิม บุญมา เป็นพระราชภาตาร่วมพระราชชนกชนนี กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 5 ในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกทองดี และพระชนนีหยก ประสูติในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ปีกุน พ.ศ.2286 มีนิวาสถานอยู่หลังป้อมเพชร ในกรุงศรีอยุธยา เมื่อทรงเจริญวัยได้รับราชการเป็นมหาดเล็กตำแหน่งนายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพร ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ มีพระเชษฐา พระเชษฐภคิณี พระอนุชาร่วมพระชนก ประกอบด้วย

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (นามเดิมว่า สา) พระเชษฐภคินี พระองค์ใหญ่

สมเด็จพระเจ้ารามณรงค์ (นามเดิมว่า ราม) พระเชษฐา พระองค์ใหญ่

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (นามเดิมว่า แก้ว) พระเชษฐภคินี พระองค์รอง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (นามเดิมว่า ด้วง) พระเชษฐา พระองค์รอง

สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (นามเดิมว่า บุญมา)

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าลา กรมหลวงจักรเจษฎา (นามเดิมว่า ลา) พระอนุชา ต่างพระชนนี

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุ กรมหลวงนรินทรเทวี (นามเดิมว่า กุ) พระขนิษฐา ต่างพระชนนี

ใน พ.ศ.2310 พม่ายกมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ขณะนั้นพระนครอ่อนแอมาก พระยาวชิรปราการ(สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) จึงพาสมัครพรรคพวกตีฝ่าออกจากพระนครศรีอยุธยา มุ่งไปรวบรวมกำลังที่หัวเมืองชายทะเลตะวันออก ที่ชลบุรี เพื่อจะรบสู้ขับไล่ข้าศึกจากพระนคร เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึกบ้านเมืองสับสนเป็นจลาจล กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นนายสุดจินดา ได้เสด็จลงเรือเล็กหลบหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา และมุ่งจะเสด็จไปยังเมืองชลบุรีด้วยเช่นกัน ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ได้นำครอบครัว และบริวาร อพยพหลบภัยข้าศึกไปตั้งอยู่ ณ อำเภออัมพวา เมืองสมุทรสงครามซึ่งแต่เดิมขึ้นกับ เมืองราชบุรี

ก่อนที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท จะเสด็จไปถึงชลบุรี ได้เสด็จไปพบพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่อำเภออัมพวาก่อน ได้ทรงชวนให้เสด็จไปหลบภัย ณ ชลบุรี ด้วย แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ยังไม่พร้อม แต่ได้พระราชทานเรือใหญ่ พร้อมเสบียงอาหาร และพระราชดำริให้ไปฝากตัวทำราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และทรงแนะนำให้เสด็จไปรับท่านเอี้ยง พระชนนีของพระยาตากสิน ซึ่งอพยพไปอยู่ที่บ้านแหลม พร้อมทั้งทรงฝากดาบคร่ำ และแหวน 2 วง ไปถวายเป็นของกำนัลด้วย

เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึก ข้าศึกได้เผาผลาญบ้านเมือง วัดวาอาราม เก็บรวบรวมทรัพย์สินมีค่า แล้วยกทัพกลับไป ให้ทหารรักษาการอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น และที่ธนบุรี บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย แยกเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง 6 ก๊ก พระยาตากสิน เป็นก๊กหนึ่งรวบรวมไพล่พลตั้งอยู่ที่จันทบุรี เข้าตีพม่าข้าศึกที่รักษากรุงศรีอยุธยาแตกไปแล้ว จึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี เมื่อปีชวด สัมฤทธิศก พ.ศ. 2311 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ในขณะนั้นทรงได้รับการสถาปนาบรรดาศักดิ์เป็นพระมหามนตรี เจ้าพระตำรวจในขวา

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมศึกสงครามขับไล่อริราชศัตรูปกป้องพระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ได้เสด็จไปในการพระราชสงครามทั้งทางบก และทางเรือ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถึง 16 ครั้ง และในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อีก 8 ครั้ง ได้แก่

พ.ศ. 2310 ตีค่ายโพธิ์สามต้นของข้าศึก

พ.ศ. 2311 ตีค่ายพม่าที่บางกุ้ง และที่สมุทรสงคราม ขณะนั้นทรงมีบรรดาศักดิ์เป็น พระมหามนตรี และเสด็จไปรับพระเชษฐาธิราช จาก อำเภออัมพวา เข้ามารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และทรงรับสถาปนาเป็น พระราชวรินทร์

พ.ศ. 2311 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้าพิษณุโลก และยกไปปราบชุมนุมเจ้าพิมายที่นครราชสีมา พระมหามนตรี และพระราชวรินทร์ได้ร่วมการสงครามที่ด่านขุนทด มีชัยชนะในเวลา 3 วัน ความชอบในการสงครามครั้งนี้ พระราชวรินทร์ได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ และ พระมหามนตรีเป็นพระยาอนุชิตราชา จางวางตำรวจ

พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระยาอนุชิตราชา ยกทัพไปปราบกรุงกัมพูชา ตีได้เมืองเสียมราฐ

พ.ศ. 2313 พระยาอนุชิตราชาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยายมราช ได้ยกทัพไปร่วมกับทัพหลวงปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง ตีได้เมืองสวางคบุรี และได้หัวเมืองเหนือไว้ในพระราชอำนาจทั้งหมด เมื่อเสร็จราชการศึกครั้งนี้ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก เป็นผู้ปกป้องพระราชอาณาจักรฝ่ายเหนือ และได้ยกทัพไปตีทัพโปมยุง่วนที่มาล้อมเมืองสวรรคโลก

พ.ศ. 2315 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้ยกทัพไปปราบพม่าที่ยกมาตีเมืองลับแล หรืออุตรดิตถ์ และเมืองพิชัยจนแตกพ่ายไป

พ.ศ. 2316 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และพระยาพิชัย ได้ยกทัพไปรบถึงประจัญบาน กับทัพโปสุพลาที่เมืองพิชัย จนข้าศึกแตกพ่าย ครั้งนี้เองที่พระยาพิชัยได้รับสมญานามว่า "พระยาพิชัยดาบหัก"

พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งขณะนั้นเป็น เจ้าพระยาจักรี กับเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ยกทัพหัวเมืองเหนือไปตีเมืองเชียงใหม่ มีชัยชนะ และเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราชได้คุมทัพเหนือไปล้อมทัพพม่าที่เขาชะงุ้ม ตีค่ายพม่าที่เขาชะงุ้ม และปากแพรกแตกจนพม่ายอมแพ้

พ.ศ. 2318 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช และเจ้าพระยาจักรี ได้รับพระราชบัญชาให้ยกทัพจากพิษณุโลกไปขับไล่โปสุพลา ที่ยกมาตีเมืองเชียงใหม่ และต่อมาอะแซหวุ่นกี้ ยกมาล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาทั้งสองจึงนำไพล่พลออกจากพิษณุโลกไปตั้งมั่นที่เมืองเพชรบูรณ์ ต่อมาพม่าถอนกำลัง จึงได้คุมกำลังเมืองนครราชสีมาติดตามตีทัพที่กำลังถอยแตกกลับไป

พ.ศ. 2320 ได้ยกทัพจากกรุงธนบุรีไปสมทบทัพเจ้าพระยาจักรีที่นครราชสีมา ตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองอัตบือ สุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ ไว้ได้ จากความชอบในการพระราชสงครามครั้งนี้ เจ้าพระยาจักรี ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก"

พ.ศ. 2321 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับ เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เกณฑ์ทัพเรือจากกัมพูชา ไปล้อมเมืองเวียงจันทน์ 4 เดือนจึงตีได้ และตีหัวเมืองต่างๆ ในแคว้นลาวจนจดตังเกี๋ยของญวนไว้ได้ด้วย และในครั้งนั้น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระพุทธมหามุนีรัตนปฏิมากร กลับคืนเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่กรุงธนบุรีด้วย

พ.ศ. 2324 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช เป็นแม่ทัพหน้าร่วมกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีกัมพูชา แต่ต้องเสด็จกลับกรุงธนบุรี เนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระประชวร บ้านเมืองเกิดจลาจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เสด็จปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ และสถาปนากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานี เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระนามนี้ต่อมาพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำหนดระเบียบเกี่ยวกับพระเกียรติเจ้านาย ให้ขานพระนามว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท มีพระราชโอรสธิดารวม 43 องค์ พระธิดาองค์ใหญ่คือ "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าหญิงพิกุลทอง กรมขุนศรีสุนทร" ซึ่งประสูติแต่ "พระอัครชายาเธอ เจ้าครอกฟ้าศรีอโนชา" พระราชขนิษฐาใน "พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ, พระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 1" พระราชโอรส ทรงเป็นต้นราชสกุล อสุนี สังขทัต ปัทมสิงห์ และ นีรสิงห์

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้ทรงร่วมการพระราชสงคราม ระหว่าง พ.ศ. 2325 ถึง พ.ศ. 2345 รวม 8 ครั้ง คือ

พ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ รบกับทัพพระเจ้าปดุง ที่ยกทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แม้มีไพร่พลน้อยกว่าข้าศึก แต่ทรงทำกลอุบายลวงข้าศึก จนสามารถมีชัยชนะ ในปีนั้น ยังได้เสด็จนำทัพเรือไปตีพม่าที่ไชยา และเสด็จไปปราบปัตตานีที่เอาใจออกห่าง และตีเมืองกลันตัน ตรังกานู เป็นเมืองขึ้นของไทยด้วย

พ.ศ. 2329 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จนำทัพไปรบกับพระเจ้าปดุง ที่เข้ามายึดตำบลท่าดินแดง และสามสบ ได้ตีทัพพม่าแตก

พ.ศ. 2330 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จยกทัพไปตีเมืองลำปางคืน และตีทัพพม่าที่ป่าซางแตก เสร็จการสงครามนี้ ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงใหม่ มาประดิษฐาน ณ พระราชวังบวรสถานมงคล ที่กรุงเทพฯ

พ.ศ. 2336 เสด็จไปตีเมืองทวายสำเร็จ

พ.ศ. 2340 เสด็จยกทัพไปป้องกันเมืองเชียงใหม่ ตีพม่าที่ลำพูน และเชียงใหม่แตก

พ.ศ. 2345 ได้เสด็จไปขับไล่กองทัพข้าศึกออกจากเชียงใหม่ แต่เมื่อเสด็จไปถึงเมืองเถิน ทรงพระประชวรโรคนิ่ว ต้องประทับรักษาพระองค์เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ พระอาการประชวรกำเริบ ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2346 พระชนมายุ 60 พรรษา

นอกจากจะทรงอุทิศพระองค์เสด็จไปในการศึกสงครามกอบกู้เอกราช และป้องกันพระราชอาณาจักรตลอดพระชนมชีพ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยังทรงเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่บ้านเมือง ทรงอุปถัมภ์บำรุงการพระศาสนา ศิลปวรรณกรรม และสถาปัตยกรรม เป็นต้นว่า

โปรดให้สร้าง พระราชวังบวร (ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โรงละครแห่งชาติ และวิทยาลัยนาฏศิลป์) ทรงสร้างกำแพงพระนครตั้งแต่ประตูวัดสังเวชวิศยารามจนถึงวัดบวรนิเวศ และทรงสร้างป้อมอิสินธร ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมพระจันทร์ ป้อมยุคนธร (ซึ่งรื้อลงแล้ว) คงเหลือแต่ป้อมพระสุเมรุ และทรงสร้างประตูยอดของบรมมหาราชวัง คือ ประตูสวัสดิโสภา ประตูมณีนพรัตน์ ประตูอุดมสุดารักษ์ และทรงสร้างโรงเรือที่ฟากตะวันตก

ทรงสถาปนาวัดมหาธาตุ วัดชนะสงคราม (วัดตองปุ) วัดโบสถ์ วัดเทวราชกุญชร (วัดสมอแครง) วัดราชผาติการาม (วัดส้มเกลี้ยง) วัดปทุมคงคา (วัดสำเพ็ง) วัดครุฑ วัดสุวรรณคีรี (วัดขี้เหล็ก) วัดสุวรรณดาราราม ทรงสร้างหอมณเฑียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วิหารคต วัดเชตุพนฯ เป็นต้น

พระปรีชาสามารถ และพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ได้จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติเป็นที่แซ่ซร้องสดุดีเทิดทูนของพสกนิกร ไทยตลอดมา