กำแพงแห่งความเกลียดชัง..ประเทศไทยในปี ค.ศ.2114
By: My-Gift-Is-My-Song เว็บ pantip ราชดำเนิน
นิยายเรื่องนี้แม้จะเป็นเหตุการณ์สมมุติ แต่ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนสติคนไทยได้ดีทีเดียว...
มกราคม ค.ศ.2014
ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยเดินมาถึงจุดแตกหัก เกิดสงครามกลางเมือง ประเทศแตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเหนือ และ ฝ่ายใต้ โดยมีกรุงเทพมหานครเป็นจุดศูนย์กลางการต่อสู้แย่งชิงอำนาจอธิปไตย
สงครามกลางเมืองดำเนินไปกินระยะเวลาหลายเดือน มีการกวาดล้าง ขุดรากถอนโคนฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน
ฝ่ายเหนือสามารถครอบครองจังหวัดภาคเหนือ อีสาน และตะวันออก
ฝ่ายใต้สามารถยึดกรุงเทพมหานคร ราชบุรี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ตลอดจนจังหวัดทางใต้ไว้ได้ทั้งหมด
มิถุนายน ค.ศ.2014
กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติ เข้าแทรกแซงและตรึงกำลังตลอดพรมแดนไทยเหนือและไทยใต้
พฤศจิกายน ค.ศ.2014
สหประชาชาติจัดการเจรจาสันติภาพ แต่การเจรจาล้มเหลว ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้
ฝ่ายเหนือประกาศสถาปนาเป็นประเทศไทยเหนือ
ฝ่ายใต้ประกาศสถาปนาเป็นประเทศไทยใต้
ทั้งสองฝ่ายตกลงในสนธิสัญญาหยุดยิงแต่ยังคงสถานะสงครามต่อกัน มีการปิดพรมแดนแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เขตสามจังหวัดชายแดนใต้ใช้โอกาสที่รัฐไทยทั้งสองติดพันสงครามกลางเมือง จึงสามารถควบคุมหัวเมืองทั้ง 3 และบางส่วนของจังหวัดสงขลาเอาไว้ได้สำเร็จ ประกาศจัดตั้งเป็นรัฐปัตตานี
ปี ค.ศ.2015
มีการปะทะนองเลือดตลอดแนวพรมแดน ไม่มีทีท่าว่าจะระงับลงได้
สหประชาชาติได้บรรลุข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายในการสร้างแนวกำแพงเพื่อปกป้องพลเมืองปะทะกัน
ไทยเหนือและไทยใต้จึงเริ่มสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างกัน ยาวกว่า 427 กิโลเมตร แต่ยังคงสถานะสงครามต่อกันอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีการตั้งชื่อกำแพงอย่างเป็นทางการ แต่มันมักถูกเรียกกันว่า "กำแพงแห่งความเกลียดชัง (Wall of hates)"
ปี ค.ศ.2018
3 ปี การก่อสร้างกำแพงแล้วเสร็จ ยอดผู้เสียชีวิตยุติลง การปะทะตามพรมแดนหมดไป เป็นกำแพงที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากกำแพงเมืองจีน พาดผ่านจากซ้ายสุดของจังหวัดกาญจนบุรี ผ่านไปทางปทุมธานี ไปจนสุดแม่น้ำบางปะกง สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงถูกทำลายลง และแม่น้ำบางปะกงถูกประกาศเป็นเขตกันชน (no man's land) ไม่สามารถใช้สัญจรได้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสองประเทศต่างมุ่งพัฒนาประเทศไปตามความเชื่อและอุดมการณ์ทางการเมืองของตน แต่ยังคงมีความเกลียดชังต่อกันอย่างยิ่งยวด โดยมีกำแพง Wall of hates เป็นปราการแบ่งแย่งทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน
รัฐไทยใต้ เร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เสียหายอย่างหนัก และต่อสู้กับรัฐปัตตานี ไม่นานนักก็สามารถบรรลุข้อตกลง 1 ประเทศ 2 ระบบ กับรัฐปัตตานีได้ จึงได้เกิดเขตการปกครองพิเศษปัตตานี
จากนั้นมารัฐทางใต้ก็ได้มุ่งพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก แม้จะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานอย่างหนักต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นฟูอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และประมง ต้องนำเข้าแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก จนกล่าวได้ว่า ครึ่งหนึ่งของประชากร ไม่ใช่คนไทย แต่รัฐใต้ก็แก้ไขปัญหาของตนได้ในที่สุด
รัฐไทยเหนือนั้น ทางภาคเหนือก็ดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนทางอีสานนั้นนอกจากเรื่องการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเบาต่างๆแล้ว รัฐยังได้เปิดเสรีอุตสาหกรรมซอฟแวร์ โดยได้ออกนโยบาย "ห้องเขียนโปรแกรมของโลก" ที่เอื้ออำนวยให้ไทยเหนือเป็นซิลิคอน วัลเลต์ ดึงดูดนักเขียนโปรแกรมและอุตสาหกรรมดิจิตัล ให้มาใช้ชีวิตและทำงาน Live and Work เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานของวิทยาการด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับดันและกุมทิศทางของโลกอนาคต นอกจากนี้ยังได้ออกนโยบายดีทร้อยท์แห่งเอเชีย ส่งเสริมให้ต่างชาติลงทุนกลับมาลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทคอีกครั้ง เช่นรถยนต์ ยานยนต์ประเภทต่างๆ เนื่องจากมีความพร้อมในด้านแรงงานมีทักษะจำนวนมาก (พวก ปวส. ปวช. วิศวกร และแรงงานมีฝีมือ) และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี
กาลเวลาดำเนินไป อย่างช้าๆ
ล่วงเข้าปี ค.ศ.2113
เป็นเวลา 99 ปีเต็มนับแต่เกิดสงครามกลางเมือง ทุกชีวิตที่ได้ร่วมกลียุคนั้นได้จากไปหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่หล่อเลี้ยงความเกลียดชังได้จางหายไปจนหมดสิ้น
ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2113 คืนสิ้นปี สิ้นศตวรรษที่ 21 อากาศกำลังเย็นสบาย รายล้อมไปด้วยสีสันของการเฉลิมฉลอง
การนับถอยหลังเพื่อเข้าสู่ศตวรรษใหม่ในปีนี้มีความพิเศษว่าทุกครั้ง ผู้คนจากทั้งสองประเทศไทยมาชุมนุมกันอย่างล้นหลามตามหัวเมืองต่างๆ ทั้งประเทศไทยเหนือและประเทศไทยใต้ และตลอดแนวกำแพงแห่งความเกลียดชัง
และที่พิเศษที่สุด คือประตูผ่านแดนถาวรที่ใหญ่ที่ใหญ่สุดบริเวณปทุมธานีจรดอำเภอวังน้อย ที่ที่ผู้คนมาชุมนุมหลายล้านคน ทั้งทูตานุทูตจากประเทศต่างๆมาร่วมเป็นสักขีพยาน
ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์สำคัญในรอบร้อยปี การเคาท์ดาวน์ที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นในช่วงชีวิตหนึ่ง
ทุกสายตาของทั้งโลก จับจ้องไปที่การถ่ายทอดสดการแถลงการณ์ร่วมของผู้นำประเทศทั้งสอง ที่กำลังกล่าวคำประกาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "การรวมชาติ"
"...... เราไม่รู้ว่า ทำไม เราจะต้องแบกรับมรดกความเกลียดชังอันนี้อีกต่อไป ในเมื่อทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ ไม่ได้เกลียดกัน แล้วเราก็พูดภาษาเดียวกัน กินอาหารเหมือนๆกัน และมีบรรพบุรุษร่วมกัน.... ในเมื่อเรายกแผ่นดินหนีจากกันไม่ได้ และการแบ่งแยกก็ไม่มีประโยชน์....
เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องรวมแผ่นดินกัน!"
เสียงคำปราศรัยสะท้อนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
"... 100 ปี มันนานเกินไปแล้วสำหรับความเกลียดชัง ข้าพเจ้า ในฐานะตัวแทนของปวงชนชาวไทย ขอประกาศสถาปนาประเทศไทยขึ้นใหม่! อีกครั้ง! นับแต่บัดนี้ เป็น..ต้น..ไป!
ในนามปวงชนชาวไทย ขอเชิญชวนเพื่อนร่วมโลก ผู้ยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคกันของเพื่อนมนุษย์ จงอวยพรเรา ประคับประคองเรา และร่วมนับถอยหลังสู่ศตวรรษใหม่ ไปพร้อมๆกัน .... 9 .. 8 ........3....2..1!"
สิ้นเสียงผู้นำสูงสุดของรัฐไทยใหม่ก็ได้ลงมือใช้ค้อนที่เคยใช้สร้างกำแพงนี้ ทุบเข้าไปที่กำแพงพร้อมกับเปล่งเสียงร้องว่า "Happy New Year!"
ประชาชนทั่วประเทศและตลอดแนวกำแพงกว่า 427 กิโลกเมตร ก็ได้เริ่มใช้ค้อนที่พวกเขาเตรียมมาเข้าทุบทำลายกำแพงนั้น อย่างสนุกสนาน แต่ระมัดระวัง เบิกบานแจ่มใส
พวกเขาทุบอิฐทุกก้อนที่สร้างขึ้นจากความกลัว ที่พวกเขาไม่ได้สร้างมันขึ้น ทำลายทุกแนวกั้นที่สร้างจากความเกลียดชัง ที่ไม่ได้ส่วนหนึ่งส่วนใดของเขา
เวลา.... พังทลายทุกๆอย่าง ที่ทุกๆคนเคยสร้างขึ้นมา
และเวลา... ก็สร้างทุกๆอย่าง ที่ทุกๆคนเคยพังมันลงไป
แล้วจะพัง เพื่อ?
สวัสดีปีใหม่ 2014
ปล.1 อยากให้คนเห็นเยอะๆ อย่าลืมโหวตนะ
ปล.2 ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์สมมุติ เป็นนิยายนะครับ เพื่อประโยชน์ในการให้แง่คิด
@ อัลบั้ม 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
By: karas อ่านแล้วเศร้า ตรงที่รู้ว่าพวกเราคือ รุ่นแห่งผลผลิตแห่งความเกลียดชัง ที่ต้องถูกกำจัดไปจากแผ่นดินนี้ก่อนเท่านั้น ประเทศไทยจึงจะสงบ คนรุ่นใหม่ถึงจะถูกสลายความเกลียดชังไปก็ผ่านเวลาไปอีกร้อยกว่าปี... อนาคตประเทศไทยคงต้องฝากไว้ในมือคนรุ่นหลังแล้วเอาบทเรียนจากรุ่นนี้ไปใช้เพื่อรู้ว่า ความเกลียดชัง ความขัดแย้งมันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้ใครเลย นอกจากความสูญเสียเท่านั้น อนาคตประเทศไทยจะต้องถูกสร้างใหม่ด้วยมือคนรุ่นใหม่ ช่วยกอบกู้เก็บเศษซากประเทศไทยที่ถูกทำลายจากคนรุ่นนี้แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิมด้วยนะ...
รูปที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของสงครามกลางเมือง
ภาพชนชั้นปกครองร่างอ้วนพี กำลังขี่หลังชนชั้นแรงงานที่หิวโหยผอมโซ จนเห็นกระดูก ไร้แววตา ไร้ความหวัง
ชนชั้นที่อ้วนพี หลับตากุมตาชั่งไว้ ไม่รับรู้สิ่งใด
เขาถือไม้เท้าที่หมายถึงเป็นผู้กุมสติปัญญา เป็นชั้นปัญญาชน ค้ำยัน(สังคม)ทั้งสองคนไว้
ชนชั้นแรงงานก็ไม่รู้ตัวว่า ผู้ค้ำยันสิ่งหนักอึ้งนี้ไว้ ไม่ใช่แค่ไม้เท้า
ภาพ "Piggyback Justitia" โดย Jens Galschiøt (Jens Galschiot)
http://www.wooarts.com/jens-galschiot/
@ หยุดเถอะ..พอแล้ว..พี่น้องคนไทยเอ๋ย!!! ก่อนมันจะกลายเป็น รวันดา2