เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 40, 41, 42, 43, 44,
By: Thaksin Shinawatra
40, 24 กันยายน 2556
24 กันยายน 2556 อีกไม่กี่วัน ก็สิ้นปีงบประมาณ มีข้าราชการเกษียณอายุกันหลายคน แต่ผมก็พ้นวัยเกษียณมา 4 ปีแล้ว ก็เข้าใจคนเกษียณดีเพราะปัจจุบันการแพทย์และโภชนาการทำให้คนอายุยืนและแข็งแรง บางคนก็อาจจะมีความปรารถนาที่จะได้รับใช้บ้านเมือง รับใช้สังคมต่อในแนวทางต่างๆกันไป
ผมอยากเห็นคนที่มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ได้แบ่งปันเวลาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะวงแคบๆคือลูกหลานตนเอง หรือสอนหนังสือบรรยายในโอกาสต่างๆ หรือเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชนหรือภาครัฐบ้าง ถ้าชอบการเมืองก็มาทำงานให้บ้านเมืองในอีกรูปแบบหนึ่ง และให้เวลาดูแลสุขภาพตัวเองมากๆนะครับ เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดคือ การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีนะครับ
หายไปหลายวัน ก็ขอเล่าเรื่องที่หายไปให้ฟังว่า ผมไปทำอะไรบ้าง เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ได้พบกับท่านผู้บริหารระดับสูงของประเทศอินเดีย เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและเพิ่มความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย และอาเซียน-อินเดียครับ ตอนนี้อินเดียผลิตข้าวได้เกินการบริโภคภายในมากถึง 10 ล้านตันที่จะต้องส่งออก เราเองก็ผลิตข้าวมากขึ้น เวียดนามก็ผลิตได้มากขึ้น จึงทำข้าวล้นตลาด ถ้าขืนแย่งกันขาย ชาวนาทั้ง 3 ประเทศคงลำบาก ก็คงต้องพูดคุยกันว่าขายอย่างไร ที่ราคาข้าวตลาดโลกจะไม่ตกต่ำจนเกินไป นอกจากนั้นทางอินเดียก็ยังอยากเห็นถนนเชื่อมโยงอินเดียมาไทยผ่านพม่า เหมือนกับที่จีนเชื่อมเข้าไทยโดยรถยนต์ผ่านลาว ซึ่งตอนนี้แถวเชียงใหม่ก็จะมีคนจีนขับรถมาเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆครับ
เมื่อวันที่ 22 ที่ผ่านมา ผมก็ได้รับเชิญให้ไปดูการแข่งขันรถ Formula-1 ที่ประเทศสิงคโปร์ ก็ได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ Sultan Bolkiah พระราชาธิบดีแห่งบรูไน เจ้าชาย Andrew แห่งประเทศอังกฤษ และ Aung San Suu Kyi จากเมียนมาร์ ก็ได้มีโอกาสทักทายพูดคุยกัน ถามทุกข์ถามสุขกัน นอกจากนี้ยังได้พบกับรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีของสิงคโปร์ นักธุรกิจรุ่นเก่าที่เคยรู้จักกันของสิงคโปร์ รวมทั้งพลเอก Fidel Ramos อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ครับ
ที่เล่ามายืดยาวก็เพราะอยากตั้งคำถามว่า ไทยควรจะจัดให้มีการแข่งขันรถ Formula-1 หรือไม่ เราจะได้ประโยชน์คุ้มค่าเงินที่ลงทุนหรือไม่ รัฐหรือเอกชน ใครควรทำและรัฐควรสนับสนุนแค่ไหน ประโยชน์ที่ว่าคงจะไม่ใช่เฉพาะรายได้โดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่รวมทั้งภาพพจน์ประเทศ และการท่องเที่ยว เป็นต้น และเราควรจะลงทุนแค่ไหน เพราะที่สิงคโปร์เขาใช้ถนนปกติเป็นที่แข่งขัน โดยการปิดถนนส่วนใหญ่แทนการสร้างทั้งหมด แต่บางแห่งก็สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเช่นที่ The Marina Bay Street Circuit เป็นต้น ที่พูดมาเพียงเล่าให้ฟัง ไม่ได้บอกว่าผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนะครับ
41, 1 ตุลาคม 2556
วันนี้เป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ของประเทศเรา เมื่อวานนี้ก็เป็นวันสุดท้ายในการรับราชการของผู้เกษียณ และวันนี้ก็เป็นวันเริ่มต้นของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งแทนผู้เกษียณทุกคน ก็ถือเป็นเรื่องปกติทุกปีเพราะก็ต้องมีคนรุ่นใหม่มารับภาระหน้าที่แทนคนรุ่นเก่า
อยากให้คนถือว่าตำแหน่งคือภารกิจหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมาย เมื่อหมดหน้าที่ก็ไม่ต้องยึดติด กลับไปให้เวลากับครอบครัวลูกหลาน และที่สำคัญคือดูแลสุขภาพตัวเองครับ พออายุมากๆสุขภาพจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าสุขภาพดีก็มีแรงทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าสุขภาพไม่ดีก็ทนทุกข์ทรมาน เสียเงินรักษาจำนวนมาก อยู่ก็ไม่มีความสุข ไปไหนมาไหนก็ลำบาก อายุ 60 ก็ยังไม่สายที่จะออกกำลัง รับประทานอาหารที่เหมาะสมทางโภชนาการ และรักษาอารมณ์ปล่อยวางที่ดี ไม่ว้าวุ่นจากการยึดติดใดๆ ก็ขอให้ผู้เกษียณมีความสุข เพื่อจะได้เอาความรู้ประสบการณ์ที่มีมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อไปนานๆ
สำหรับผู้ที่รับตำแหน่งใหม่ก็ขอให้ช่วยกันทุ่มเทให้บ้านเมืองนะครับ เรายังต้องปรับตัวให้ทันโลก ทันภูมิภาคอีกเยอะครับ ถ้าเราไม่เห็นโลกเราก็คิดว่าเราสุดยอดแล้ว แต่ที่ไหนได้ เราต้องปรับปรุงตัวเราอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศักยภาพในการแข่งขัน โครงสร้างพื้นฐาน และการปรับตัวเข้าสู่การเป็น Creative Economy และ Knowledge Based Economy เพราะหลังจากการเปิด AEC ในปี ค.ศ. 2015 และการแข่งขันการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) เราจะเผชิญกับความท้าทายอีกหลายด้าน
ผมเพิ่งออกจากฮ่องกง มาเก๊า และกำลังเดินทางไปปักกิ่ง ก็ยังเห็นว่าความเป็นประเทศไทยที่คนไทยมีคุณภาพในการให้บริการสูงจนเป็นที่ติดอกติดใจของผู้มาเยือนทั้งหลายนั้น ก็ยังต้องปรับปรุงตัวเองเพื่อรองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวอีกมาก หรือการให้บริการทางการแพทย์ของเราหลังจากฮิตมาก ก็เริ่มถูกต่อต้านเพราะพาณิชย์มาก จนขาดความเหมาะสมต่อจรรยาบรรณทางการแพทย์แล้ว overchange
เดี๋ยวปีหน้าจีนกับไทยอาจจะบรรลุข้อตกลงในการ ยกเลิก VISA ต่อกัน ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวมากขึ้นอีก สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองจะรองรับไม่ไหว ภูเก็ตเองก็ overload ไปแล้ว คงต้องเร่งขยายอย่างหนักเลยครับ แต่โรงแรมไทยก็แข่งกันลดราคาจนกลายเป็นว่าเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกค่าที่พัก ในโรงแรม 5 ดาวของไทยถูกที่สุด ถูกเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกง มาเก๊า ปักกิ่ง สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งดูไบ
วันก่อนได้คุยกับท่าน ผบ.ตร. ผมก็บอกว่าผมได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่ขายของทั้งหลายในเมืองท่องเที่ยวเช่นพัทยา ภูเก็ต ว่ามีหน่วยงานทั้งหลายในตำรวจและหน่วยงานภายนอกเดินเก็บส่วยกันมากจนเป็น cost ของผู้ประกอบการ และแน่นอนก็จะผ่านไปยังผู้บริโภค ทั้งๆที่รัฐบาลได้จัดการปัญหาเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้ายออกไปอย่างสิ้นเชิง ก็ยังไม่ง่ายเพราะนิสัยที่ชอบเก็บส่วยได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง ขอให้ช่วยกันจัดการด่วน! ท่านก็บอกว่าท่านนายกฯได้สั่งการมาแล้วครับ ผมเลยหวังว่าทุกอย่างก็คงจะดีขึ้นครับ
วันนี้พูดหลายเรื่อง เอาเท่านี้ก่อนครับ ไปอยู่ปักกิ่งแล้วจะมีเวลาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังอีกครับ
42, 4 ตุลาคม 2556
ตอนนี้ผมอยู่ปักกิ่งครับ ช่วงนี้เป็นวันหยุดยาวของปักกิ่ง เป็นวันฉลองวันชาติของจีนครบ 64 ปี
เมื่อวานอากาศดีมาก ได้มีโอกาสไปเล่น Pro-Am (Professional VS Amateurs) กับนักกอล์ฟชาวเกาหลี-อเมริกัน Michelle Wie ซึ่งเป็นนักกอล์ฟที่ดังมากเมื่อ 5-6 ...ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เล่น off ไปเพราะพัตต์ไม่ค่อยดีก็เลยมาเป็นอันดับที่ 85 ของโลก เธอได้สปอนเซอร์จาก Nike เป็นจำนวนมากพอๆกับ Tiger Wood ในช่วงที่ดังมีค่าตัวสูง แต่ที่สำคัญเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีกับทุกๆคน
วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มแข่งจริง ก็ได้ไปเชียร์ข้างกรีน ไปเจอน้องแหวน พรอนงค์ คนชัยภูมิและมีพี่ชายเป็น Caddy เป็นทีมพี่น้องที่น่ารักมาก บังเอิญมีเพื่อนคนนึงบอกผมว่าดูแล้วเหมือนผมกับนายกฯปูเลย ที่น้องต้องทำหน้าที่ต่อสู้บนเวที มีพี่ชายคอยเป็นกำลังใจ คอยแบกสัมภาระให้และคอยแนะนำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่ผู้เล่นจะต้องตัดสินใจเองเพราะคะแนนดีไม่ดีผู้เล่นจะเป็นผู้กำหนดมากกว่า 80%
ผมฟังแล้วก็รู้สึกขำแต่ก็ภูมิใจแทนคุณพ่อคุณแม่ของน้องแหวนที่มีลูกที่รักกันสามัคคีกันช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัววงศ์ตระกูลและประเทศ ผมขอเป็นกำลังใจให้พัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นไปได้เรื่อยๆ รวมทั้งนักกอล์ฟฝีมือดีของไทยอีก 2 คน ที่ร่วมแข่งใน LPGA Classic ที่ Reignwood Beijing ด้วยครับ โดยเฉพาะนักกอล์ฟอนาคตดีแต่บาดเจ็บมาแข่งไม่ได้อีก 1 คู่พี่น้อง คือน้องโมน้องเมย์ ซึ่งขอให้ประสบความสำเร็จนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทยนะครับ ผมพร้อมเป็นกำลังใจและสนับสนุนเยาวชนไทยที่เป็นเลิศทางกีฬาทุกประเภทครับ
มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ กีฬาทุกประเภทที่เล่นคนเดียว คนไทยค่อนข้างเด่น เช่น มวย ยกน้ำหนัก เทนนิส กอล์ฟ แบดมินตัน พอเล่นเป็นทีมเรามีปัญหา เราเป็นชาติที่ทีมเวิร์คมีปัญหา ทำงานเป็นทีมไม่ได้ ซึ่งเราต้องมาค้นหาว่าเป็นเพราะอะไร กีฬาเป็นสิ่งที่ดูง่ายที่สุด การทำงานเช่นกัน เรามีปัญหาเรื่องการทำงานเป็นทีม และในเกือบจะทุกองค์กรก็จะเจอปัญหาความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
สิ่งที่ผมพอมองเห็นคือ การมีวินัยที่จะเคารพกติกาของการทำงานร่วมกันเรามีปัญหา เราไม่ค่อยให้เกียรติกันเอง จึงเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของทีมเวิร์คไม่เวิร์ค ผู้ที่เป็นผู้นำในการทำทีมเวิร์คต้องมีกระบวนการละลายพฤติกรรม ให้หลอมเป็นหนึ่งเดียวมุ่งมั่นสู่จัดหมายร่วมกันขององค์กรมากกว่าเป้าหมายส่วนตัว วางอีโก้ส่วนตัวและเคารพกติกาการอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันอย่างเคร่งครัดครับ
43, 7 ตุลาคม 2556
วันนี้ยังอยู่ปักกิ่งครับ พรุ่งนี้ต้องพบผู้ใหญ่ที่จีนก็เลยจะอยู่ถึงวันที่ 12 แล้วจึงไปพบผู้ใหญ่ที่เกาหลีและไปพูดให้ World Knowledge Forum ช่วงที่อยู่แข่งขันดูกอล์ฟ LPGA ที่ปักกิ่งก็ได้พูดคุยกับเพื่อนๆที่มาจากเมืองไทย เพื่อนๆก็เลยเห็นว่าผมน่าจะเอาประสบการณ์นี้มาเล่าให้พี่น้องฟังใน Facebook ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องเป็น 2 แบบ
แบบที่หนึ่งจะเรียกชื่อว่า Me and My Country ซึ่งจะเน้นเรื่องเทคนิคและเบื้องหลังในการเจรจา รวมทั้งวิธีคิดของผมในแต่ละเรื่องที่บางคนไม่เข้าใจอาจจะนำไปใช้ผิดๆได้
อีกแบบที่จะเขียนผมขอเรียกว่า Turn My Exile to Learning Period เพื่อจะเล่าเรื่องราวที่ได้พบเห็นและได้เรียนรู้อะไรจากที่ได้พบเห็น เพื่อจะได้เล่าให้ท่านผู้ติดตามผมได้เรียนรู้โลกไปกับผมด้วย ซึ่งท่านอาจจะ comment มาเพื่อผมจะได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วเเอามา share กันอีก เพราะบางประเทศผมไปหลายรอบแล้วแต่ภารกิจ
แต่บางสิ่งที่เล่าผมอาจจะไม่บอกชื่อประเทศหรือชื่อผู้นำถ้าจะทำให้เขาดูไม่ดี เป็นการรักษามารยาท เพราะบางทีเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องลับในขณะนั้น แต่ผมจะเอาเกร็ดเพื่อเป็นความรู้ให้ท่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงานของท่านได้ เช่นเทคเนิคการเจรจาที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ท่าน James Baker ได้ใช้เจรจากับ Yasser Arafat อดีตผู้นำ Palestines ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว
James Baker เล่าให้ผมฟังว่าท่าน Arafat จะเข้าห้องน้ำปวดฉี่บ่อยกว่าท่าน ท่านก็ให้เจ้าหน้าที่คอยรินน้ำให้ท่าน Arafat แล้วท่าน James Baker เองก็จะค่อยจิบน้ำ ไม่ดื่มเป็นเรื่องเป็นราว และก็ดำเนินการเจรจาไปเรื่อยๆ และดึงให้การเจรจามีความต่อเนื่องจนท่าน Arafat ปวดท้องฉี่หนักๆ ทนไม่ไหวแล้วจึงโน้มน้าวให้ท่าน Arafat ต้องตัดสินใจตามแนวทางที่ท่าน James Baker วางแผนไว้
ผลการเจรจาจึงลงเอยตามที่ท่าน James Baker อยากเห็น นี่เป็นตัวอย่างครับ
พบกันวันพรุ่งนี้ เริ่ม Me and My Country กันก่อนครับ
44, 8 ตุลาคม 2556
Me and My Country (1)
ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการเล่าเรื่องเบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิครับ
ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการประกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อนเป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้านเพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้
ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพงเกินจริงและรองรับผู้โดยสารได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ปุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บริษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะไม่จริง
ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้องยกเลิกการประมูลและแก้แบบใหม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป็นไร ผมใช้เงินแบงค์กรุงไทยกับแบงค์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่
ผลปรากฎว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลังจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย
และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับมาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องการของเขาและของเรา)
ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่าไทยจะไม่ยอมกู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญาที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำรองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากกว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน
ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดดออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือเต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้องใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มีใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา
ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาประกอบกับการปรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออกที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสามารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้องยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้
ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลายคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นนักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งหมดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก 6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะว่าอีก 6 เดือนจะชำระ
ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย
สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศาสตร์การเงินและการทำงานที่ควบคู่กันได้ดี เราจะสร้างTrust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในที่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เราได้ใช้บริหารและสร้างรายได้อย่างไม่จำกัดครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ
เชิญติดตามตอนต่อไป : เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก 45, 46, 47, 48, 49,