*..รอโหลดซักกะเดี๋ยว..*           ฝ่าวิกฤติการเมืองไทย..๒๕๔๙
. . . ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่สื่อสารถึง"คนเสื้อแดง"ทั่วไทยและทั่วโลก . . . ขอขอบพระคุณเจ้าของclipภาพถ่ายและบทความทุกๆท่านที่กรุณาเอื้อเฟื้อแบ่งปัน . . .น้ำใจซื้อขายไม่ได้ แต่น้ำใจให้กันได้...อิอิ
คลิกที่นี่...ดูสด VoiceTV และ AsiaUpdate *..รอโหลดซักกะเดี๋ยวเตง..*
  

@ ปู้นนน...!!! คนเมืองใต้เจียงใหม่ของหมู่เฮาลงไปตางปู๊นนน..... * * * * * @ 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อยากให้ประชาชนลืม ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ไม่ยากเลย...สองข้อเท่านั้น

อยากให้ประชาชนลืม ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ไม่ยากเลย..
สองข้อเท่านั้น.. 1.บังคับใช้กฎหมายด้วยความเท่าเทียมกัน 2.บริหารประเทศให้ดีกว่า



"6 ปีผ่านไปทำไมคนอีสานไม่ลืมทักษิณ ชินวัตร"
โดย: วันเฉลิม ศรีกุตา นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน

ผลการสัมภาษณ์และลงพื้นที่ ทั้ง 5 จังหวัด ก็ทำให้เราได้ทราบข้อมูล ที่แตกต่างในมุมของประชาชนทั่วไป ประชาชนที่ชื่นชอบ แม้แต่ประชาชนที่ไม่ชื่นชอบในตัวของ อดีตนายกฯที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร มันถูกสะท้อนผ่านอีกมิติ ผ่านมุมมอง เมื่อเราได้ไปสัมผัส สองข้างทาง ระยะทางกว่า 130 กิโลเมตร ที่พาดผ่านจังหวัดมหาสารคาม กาฬสินธุ์ ขอนแก่น และอุดรธานี เดินทางโดยรถจักรยานยนต์กว่า 5 คันที่วิ่งตามกันไปติดๆ

การใช้เวลากว่า 12 ชั่วโมง เห็นภาพชาวนาที่กำลังปลูกข้าว ชาวไร่อ้อยที่กำลังดายหญ้า พ่อค้า แม่ค้าที่กำลังค้าขายตามไหล่ทาง ร้านค้า หมู่บ้าน ทุ่งนา ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ป่าไม้ที่ยังคงสมบูรณ์อยู่บ้าง ทำให้เราได้สัมผัสกับกลิ่นไอ ของคนอีสาน ถนนหนทางที่ทั้งสะดวกสบายสลับกับทุรกันดาร มันสะท้อนวิถีชีวิตของคนอีสานจริงๆ แต่เมื่อเราได้ลงไปสัมภาษณ์ ก็ทำให้เราได้เห็นภาพชัดยิ่งขึ้น ถึงคำว่าอีสาน พร้อมอยากจะร้องตะโกนขึ้นมาดังๆว่า "แดนอีสานแห่งนี้นั้นยิ่งใหญ่ เราภูมิใจที่เกิดอยู่ในถิ่นนี้" อีสานหรือคำว่า "ลาว" ที่คนกรุงเทพเรียก มันอาจทำให้เรารู้สึกดี เมื่อได้ยินคำนี้ก็ครั้งนี้

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นความนิยมและความเชื่อมั่นในตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประชาชนร้อยละ 93.14 เชื่อมั่นในการบริหารประเทศของเขา พร้อมบอกเราว่าสมัยนั้น "ทักษิณทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น สินค้าไม่แพงเหมือนปัจจุบัน" แม่ค้า จังหวัดขอนแก่นกล่าว สอดคล้องกับผลสำรวจของเรา อีกข้อที่บอกว่าประชาชนร้อยละ 91.20 เชื่อว่ารัฐบาลทักษิณ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งด้านการค้าขายในประเทศและต่างประเทศ แต่เมื่อสอบถามในข่าวสารและกระแสตามข่าวต่างๆ ถึงเรียนของการทุจริตคอร์รัปชัน และโกงกิน ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 60.80 ไม่เชื่อ ว่าเขาโกง แต่ก็มีประชาชนจำนวนไม่ร้อย 39.22 ที่เชื่อว่าเขาโกง แต่บุคคลที่เชื่อว่าเขาโกง ก็ยังสนับสนุนให้เขากลับมาบริหารประเทศต่อ คณะผู้จัดทำ เลยมองว่าประชาชนเชื่อว่าเขาโกง (ซึ่งความจริงอยู่ที่ศาล) แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็ยังคิดว่าไม่มีรัฐบาลไหนที่ไม่โกง สอดรับกับคำที่ว่า "โกงได้แต่ประชาชนต้องได้ประโยชน์ด้วย" ซึ่งมีประชาชนเห็นด้วยร้อยละ 53.92 คำถามนี้จึงน่าจะบอกอะไรกับสังคม

ถ้าจะถามในเรื่องของเชื่อหรือไม่ ว่าทักษิณ ไม่จงรักภักดี ประชาชนส่วนใหญ่ตอบว่า ไม่เชื่อ ร้อยละ 75.49 และ เชื่อ ร้อยละ 24.50 ด้วยเหตุทั้งสองข้อกล่าวหา ที่ทั้งสื่อเลือกข้าง พรรคการเลือกตรงข้าม หรือแม้กลุ่มก้อนการเมืองที่ไม่ชอบเขา พยายามที่จะโหมโรง ประโคมข่าวต่างๆ โดยเน้นอยู่ 2 เรื่อง คือเรื่องทุจริต และเรื่องไม่จงรักภักดี แต่ผลสำรวจ ร้อยละ 80.40 บอกว่าอดีตนายกฯทักษิณ ไม่ได้รับความยุติธรรม ร้อยละ 65.68 ไม่เชื่อว่าเขาแสวงหาประโยชน์จากคนอีสาน ประชาชนส่วนใหญ่ร้อย 85.29 ยังเชื่อมั่นว่า รัฐบาลนายกทักษิณ บริหารประเทศได้ดีกว่ารัฐบาลอื่นๆ ร้อยละ 80.39 เชื่อว่าคนอีสานยังชื่นชมในผลงานในตัวอดีตนายกทักษิณ พร้อมทั้งเชื่อว่าเขาจะได้กลับประเทศ ร้อยละ 68.62 สุดท้ายประชาชนยังเชื่อหรือไม่กับคำพูดที่ว่า "อดีตนายกทักษิณคือวีรบุรุษของคนอีสาน" ร้อยละ 83.33 บอกว่าเชื่อ

จากข้อมูลข้างต้น จึงเป็นที่สังเกตของคณะผู้จัดทำ ว่าเพราะเหตุใด คนอีสานไม่น้อย ยังรักและศรัทธาต่อตัว อีกทั้งกลุ่มการเมืองของเขาอยู่ ทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางการเมืองในทางกฎหมาย ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือรับตำแหน่งทางการเมือง กว่า 6 ปีมาแล้ว ทำไมคนยังเชื่อในสิ่งที่เขาทำ เชื่อว่าเขาเป็นคนดี เชื่อว่าเขาไม่ได้รับความยุติธรรม เชื่อว่าเขาเปรียบเสมือนวีรบุรุษของคนอีสาน และเพราะเหตุใด คนอีสานยังไม่ลืมคนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ทำให้คณะผู้จัดทำเลยจำเป็นต้องเจาะลึกไปที่นโยบายที่อดีตนายกฯท่านนี้ได้ทำขึ้น พบว่าเพราะ ร้อยละ 88.23 ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขปัญหาความยากจนในรัฐบาลนี้ พร้อมทั้ง ร้อยละ 88.23 บอกว่ารัฐบาลทักษิณ สามารถที่จะแก้ปัญหาต่างๆได้ตรงใจประชาชน ประชาชนได้บอกว่าเราว่า "ทักษิณเข้าถึงประชาชน ใกล้ชิดประชาชน" นี้เป็นคำพูดจากประชาชนที่เราลงพื้นที่ ซึ่งเราก็ไม่สามารถจะรู้ว่ามันจริงหรือไม่ แต่มันคือความรู้สึกของเขา ต่อตัวอดีตนายกฯท่านนี้

ด้านสาธารณสุข รัฐบาลทักษิณจัดตั้ง โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อแบ่งเบาภาระ ค่ารักษาพยาบาลของประชาชน ประชาชนร้อยละ 95.09 บอกว่าได้รับจริงและทั่วถึง

ด้านอาชีพ รัฐบาลทักษิณ ได้จัดตั้งโครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ช่วยส่งเสริมให้คนในชุมชนมีอาชีพมั่นคง ประชาชนร้อยละ 78.44 ตอบว่าประชาชนได้รับจริง

ด้านเกษตรกร รัฐบาลทักษิณ ได้จัดตั้งโครงการ รับจำนำราคาข้าว เมื่อสอบถามว่าประชาชนได้รับประโยชน์มากหรือน้อย ประชาชนร้อยละ 78.43 ตอบว่ามาก แต่ก็ยังมีจำนวนประชาชนจำนวนกว่า 22.44 บอกว่าได้รับน้อย คณะผู้จัดทำเลยติดตามลงไปเรื่องนี้อีก ผลจากการสัมภาษณ์ ก็ปรากฏออกเป็น 2 ความเห็น คือแบบจำนำราคาข้าว ในรัฐบาลทักษิณเป็น ถือว่าข้าวเป็นราคามาก มีราคาที่สูง ประชาชนได้รับเงินที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย "ประชาชนที่ได้รับประโยชน์ส่วนมากคือเป็นเกษตรกร ที่มีที่นาเยอะ ถึงจะมีโอกาสได้รับผลจากนโยบายนี้ แบบประกันราคาข้าว ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประชาชนให้ความเห็นว่า โครงการนี้ก็ดี มีส่วนต่างให้ประชาชนต่อไร่ เพื่อเป็นทุนให้ประชาชน ได้นำเงินมาซื้อปุ๋ย แต่มีปัญหาอยู่ว่ามีช่องทางให้ประชาชน อีกจำนวนที่ไม่ได้ทำงาน หรืออาจจะมีที่ดิน 10 ไร่ แต่สร้างบ้านและสวนไปแล้ว 2 ไร่ เหลือเพียง 8 ไร่ที่ใช้ทำนา แต่เวลาเกษตรกรไปทำเรื่องขึ้นทะเบียน ก็จะแจ้งตามที่ระบุไว้ในโฉนด เป็นช่องทางการทุจริตเกิดขึ้น แต่ถ้าถามว่าเมื่อเป็นแบบนี้ คนส่วนใหญ่เลือกพรรคไหน ประชาชนส่วนใหญ่บอกเลือกพรรคเพื่อไทยเท่านั้น" ความเห็นชาวนา จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดขอนแก่น

ด้านสังคม รัฐบาลทักษิณ ได้จัดตั้ง นโยบายปราบปรามยาเสพติด สำหรับนโยบายนี้คงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของนักสิทธิมนุษยชนว่า มีการฆ่าตัดตอน อย่างหนัก และมีคนจำนวนมากที่เชื่อว่ารัฐบาลทักษิณทำจริง และก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งเช่นกันที่ไม่ใช่ แต่แม้จะเป็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการฆ่าตัดตอน แต่ประชาชนกับชื่นชอบนโยบายของรัฐบาลอย่างมาก ถึงร้อยละ 97.03

ด้านชุมชนเข็มแข็ง รัฐบาลทักษิณ ได้จัดตั้ง กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท ขึ้นเพื่อเป็นกองทุนให้ชาวบ้าน ได้ยืมไปลงทุน เพื่อให้ตั้งตัวได้ ประชาชนร้อยละ 80.39 ได้รับและเข้าถึงจริง นอกจากนั้นรัฐบาลทักษิณ จัดทำโครกงากร SML รัฐบาลทักษิณ ช่วยพัฒนาและแข็งแรงให้กับชุมชน ประชาชนร้อยละ 91.17 รัฐบาลทักษิณได้พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ให้เป็นชุมชนที่เข็มแข็งและสามารถพึ่งพาตัวเอง ได้หรือไม่ ประชาชนร้อยละ 80.39 ได้รับ

ด้านการศึกษา รัฐบาลทักษิณ ได้ส่งเสริมการศึกษาของเด็กไทย ในด้านทุนการศึกษา ประชาชนร้อยละ 90.19 ตอบว่าได้รับ โดยนำเงินจากสลากกินแบ่งรัฐบาลมาช่วยและยังส่งเด็กไทย ไปเรียนต่างประเทศอีกด้วย พูดถึงประเด็นสลากกินแบ่งรัฐบาลคณะผู้จัดทำประชาชน ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนจากหวยใต้ดินเป็นหวยบนดินประชาชนร้อยละ 60.78 บอกว่าได้รับประโยชน์

นโยบายที่ประชาชนส่วนใหญ่ ชื่นชอบมากที่สุด 3 อันดับคือ 1) นโยบายปราบปรามยาเสพติด 2) นโยบาย30 บาทรักษาทุกโรค 3) กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งข้อมูลนี้ สอดรับกับ สวนดุสิตโพล ที่เคยสำรวจ "ประชาชนมอง ทักษิณ อย่างไร?" เมื่อระหว่างวันที่ 1 - 11 พฤษภาคม 2544 จึงเป็นที่สังเกตว่า ทำไม??? เมื่อระยะเวลาจะเปลี่ยนไปหลายปี แต่ความนิยมและความชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่เปลี่ยนแปลง

>ปุจฉา "6 ปี ผ่านไปทำไมคนอีสานยังไม่ลืมทักษิณ"

>วิสัชนา "จากเสียงจากประชาชน"

"เพราะมีโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ จึงทำให้ผม มีวันนี้ เพราะไม่ฉะนั้นที่นาของผมก็คงโดนนายทุนยึด" ชาวบ้านหนองเข้ จังหวัดมหาสารคาม

"เป็นนโยบายที่ทำได้จริงและสามารถทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น" นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

"ตอนทักษิณอยู่ยาเสพติดแทบไม่มี พอทักษิณไปหาบขายเต็มตะกร้า" ชาวอำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น

"ทักษิณสู้ๆ" ชาวนา จังหวัดขอนแก่น

"ทักษิณดี ช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชน สามารถแก้ไขความยากจนของประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี" แม่ค้า จังหวัดขอนแก่น

"ยาเสพติดลดลง การค้าการขายดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ค่าครองชีพถูก" แม่ค้า อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น

"ชอบเพราะที่ท่านบริหารประเทศได้ดี ช่วยเหลือประชาชน และแก้ปัญหาความยากจน ความเป็นเป็นอยู่ของประชาชนได้ดี" ข้าราชการจังหวัดศรีษะเกษ

"นโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนโยบายที่ดีมาก พูดแล้วทำได้จริง ไม่ใช่พูดแล้วทำไม่ได้เหมือนนายกบางคน" นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

"1 อำเภอ 1 ทุนที่จัดให้ไปเรียนต่างประเทศ ประเทศชาติจะพัฒนาต้องพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความรู้และการศึกษาที่ดีและประชาชนจะต้องมีกิน มีใช้ อยู่ดี กินดี เหมือนกับคำว่า ศึกษาดี ประชาชนมีกินมีใช้ ไร้โรคคา พาให้สุขสมบูรณ์" เกษตรกร จังหวัดศรีษะเกษ

"บริหารประเทศได้ดี ตรงใจคนอีสาน ได้เป็นอันดับหนึ่ง" นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

"ท่านเป็นคนพูดจริงและทำให้ประชาชนเห็นจริง ไม่เอาเปรียบประชาชน และมีความยุติธรรมซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ มีประชาชนรัก พูดได้ทำได้ ท่านเป็นคนที่พูดแล้วทำให้ประชาชนเห็นผลงานจึงมีคนอิจฉา ขอให้ท่านเข้ามาเร็วไวให้คุณพระคุ้มครองท่าน ให้มีความสุข สบาย คนใดทำให้ท่านพัดพรากจากบ้าน ขอให้ฟ้าดิน ลงโทษคนชั่วเหล่านั้นด้วย" เกษตรกร จังหวัดศรีษะเกษ

"ทักษิณหนี ยาบ้าเพิ่มขึ้นมาก" แม่ค้า จังหวัดกาฬสินธุ์

"มีความเป็นธรรมให้ประชาชน นโยบายเข้าถึงประชาชน" ประชาชน จังหวัดอุดรธานี

"เข้าถึงพื้นที่ เข้าถึงรากหญ้าทุกนโยบาย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ารัฐบาลหน้าตาเป็นยังไง ตาสีตาสารู้จัก" ชาวนา จังหวัดกาฬสินธุ์

จากข้อมูลที่สอบถามและสัมภาษณ์กับประชาชนทั้งหมด จึงมาเป็นบทวิเคราะห์ว่า สิ่งที่สะท้อนออกมาจากมุมมองของประชาชนหลากหลายอาชีพ หลากหลายจังหวัด ผลก็ออกมาว่าประชาชนส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงให้ชื่นชอบในการบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอยู่ สังเกตจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จึงเป็นการปฏิเสธที่ยากมาก ว่าการชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีส่วนในความสำเร็จ ก็เพราะความศรัทธา อำนาจ หรืออาจจะเรียกว่าคุณงามความดี ยังคงมีอยู่

จากข้อมูลที่ผู้จัดทำได้ทำขึ้นมันยิ่งชี้ให้เห็นว่า นโยบายที่เขาทำ ประชาชนได้รับประโยชน์ ความใกล้ชิดกับประชาชนที่หลายคนเรียนว่า "รากหญ้า" ก็คงจะเป็นส่วนสำคัญที่คนอีสานยังไม่ลืมเขา หากจะตั้งคำถามว่าความนิยมนี้เกิดจากการซื้อสิทธิ์ขาดเสียง หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ก็คงจะเป็นความคิดเฉพาะบุคคล แต่สำหรับความคิดเห็นของประชาชน ร้อยละ 50.98 บอกว่ารับเงินซื้อเสียง จากทุกพรรคการเมืองที่มาให้ และประชาชนร้อยละ 49.01 ไม่รับเงินซื้อเสียง ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ต่างกันมานะ แต่บทสรุปแล้วประชาชนร้อยละ 100 บอกว่าตัดสินใจเลือกคนจากผลงาน ไม่ได้ตัดสินใจเพราะซื้อเสียง

คณะผู้จัดทำได้สัมภาษณ์คุณยายเสื้อแดงอีกท่านหนึ่ง ว่า "ทักษิณเป็นใคร ทำไมคุณยาย ต้องไปชุมนุมเพื่อทักษิณ" ยายตอบเราว่า "ทักษิณเป็นคนดี อยากให้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง ทำไมต้องลดอำนาจ(รัฐประหาร)เขาลง" นั้นจึงแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังอยู่ในความทรงจำ ของคนอีสานส่วนใหญ่หลายล้านคน เราจึงสอบถามว่าประชาชนจะอยากให้ อดีตนายกฯทักษิณกลับมาบริหารประเทศอีกครั้งหรือไม่ ประชาชน ร้อยละ 85.29 ประชาชนอยากให้กลับมา

ทั้งหมดนี้คงจะเป็นวิสัชนา ของปุจฉาที่ว่า "6 ปี ผ่านไปทำไมคนอีสานยังไม่ลืมทักษิณ ชินวัตร"

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คำแถลงนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณี ปปช.กล่าวโทษโครงการรับจำนำข้าว

ชาวนา ดูกันหน่อย ดูง่ายๆเข้าใจง่ายๆ อยากให้ชาวนาประเภทยอมเป็นงูเห่าให้เขาจูงพามากดดันคนที่ช่วยเขา ดูหน่อย..
เพื่อเตือนความจำและให้เกิดสำนึก ว่าควรยืนช่วยด้านไหนดี


คำแถลงนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณี ปปช.กล่าวโทษโครงการรับจำนำข้าว

พี่น้องประชาชนชาวไทยและชาวนาที่รักยิ่ง

ดิฉันขอเริ่มต้นด้วยการยืนยันอีกครั้งว่า ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าที่ดิฉันได้มาทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั้น

ดิฉันตั้งใจที่จะทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนด้วยความมานะอุตสาหะและที่สำคัญด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด เพราะดิฉันตระหนักเสมอว่า เมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกเราเข้ามาทำงานแล้ว เราจะต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง และต้องทำให้ดีที่สุดดังที่สัญญากับประชาชนไว้ โดยเฉพาะการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนทั้งประเทศ และการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุควรสงสัย เรื่องการปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ ซึ่งต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ แจ้งเรื่องไต่สวนมายังดิฉัน ให้ทราบเรื่องการตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน และมอบหมายให้ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. และนายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยหนังสือที่แจ้งต่อดิฉันยืนยันว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวน จะปฏิบัติต่อดิฉันให้ได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอย่างเหมาะสมด้วยความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ นั้น

ดิฉันก็เชื่อคำกล่าวอ้างในหนังสือของ ป.ป.ช. เพราะเมื่อคำนึงถึงตำแหน่งที่ดิฉันดำรงอยู่ คือในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ก็ย่อมควรที่จะได้รับการอำนวยความยุติธรรมตามสมควร กล่าวคือ การรับฟังพยานหลักฐานในเรื่องที่มีการกล่าวหาอย่างเพียงพอ แม้ไม่สิ้นกระแสความในขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา และแม้กฎหมายจะระบุให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการโดยเร็วแต่ก็ไม่ควรเร่งรีบเร่งร้อน เพื่ออำนวยความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา

พี่น้องประชาชนค่ะ

การทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ถือเป็นการทำงานในระดับนโยบาย ส่วนในระดับปฏิบัติการการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว ก็เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ กล่าวคือ มีการกำหนดโครงสร้างการทำงานขั้นตอนและกระบวนการปฏิบัติ เพื่อรับจำนำและระบายข้าว โดยมีหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบการปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย

ระบบงานราชการเป็นระบบการทำงานที่มีมาตรฐาน การที่ดิฉันทำงานอยู่ในระดับการกำหนดนโยบาย จึงไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการลงไปปฏิบัติการสั่งการ หรือครอบงำเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย ทั้งการดำเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าวก็เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาซึ่งต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๑ และ ๑๗๘ และดิฉันตระหนักเสมอว่า การทำงานไม่ว่าจะเป็นราชการหรือเอกชน จะต้องใช้หลักการในการบริหารจัดการที่ดี มีการมอบหมายงานโดยเด็ดขาด เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละเรื่องแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน

ดังนั้น เมื่อจะมีการแจ้งว่า จะไต่สวนข้อเท็จจริงดิฉันในเมื่อดิฉันไม่ใช่ผู้ปฏิบัติแต่กำลังถูกกล่าวหา ดิฉันก็จำเป็นต้องขอใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ขอทราบพยานหลักฐานและขอตรวจสอบพยานหลักฐาน ตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองและกำหนดไว้ เพื่อจะได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกล่าวหาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้าใจในเบื้องต้นว่า มิได้กระทำผิดซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ก่อนการถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีต่างๆ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมต้องมีโอกาสได้ใช้สิทธิ รวมทั้งการขอคัดค้านให้เปลี่ยนตัวบุคคลเป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง

ซึ่งสำหรับกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นกรรมการนั้น ดิฉันได้ขอให้กรรมการ ป.ป.ช. รายอื่นทำหน้าที่กรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนแทน โดยดิฉันได้ยื่นหนังสือจำนวน ๒ ฉบับ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ แล้ว

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันไม่เคยได้รับแจ้งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า เรื่องที่ดิฉันขอความยุติธรรมทั้ง ๒ เรื่องข้างต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะอำนวยความยุติธรรมให้แก่ดิฉันหรือไม่ กลับกันคือ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่ผ่านมานั้น ดิฉันได้รับทราบจากการแถลงข่าวของกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นบุคคลที่ดิฉันคัดค้าน ว่า "ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ ให้เรียกดิฉันมารับทราบข้อกล่าวหา โดยจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้ดิฉัน ในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เวลา ๑๔.๐๐ น." ซึ่งหากรวมเวลานับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการไต่สวน เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ จนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อดิฉัน ในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ รวมเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีเพื่อแจ้งข้อหากับดิฉันเพียง ๒๑ วัน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนที่กรรมการ ป.ป.ช. เคยปฏิบัติต่อการไต่สวนในคดีทางการเมืองอื่นๆอย่างเช่นคดีของดิฉัน

มีข้อสังเกตที่มาใช้เปรียบเทียบได้ด้วยว่า คดีที่บุคคลรัฐบาลที่แล้วสมัยเมื่อเป็นรัฐบาลก็ถูกกล่าวหาในเรื่องทุจริต ในการปฏิบัติหน้าที่ในหลายคดีเช่นกัน เช่น คดีระบายข้าวถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตแต่ปรากฏว่า คดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่สำหรับดิฉันแล้ว ในเวลาเพียง ๒๑ วัน ดิฉันก็ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา

พี่น้องประชาชนค่ะ

ดิฉันขอยืนยันความบริสุทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ว่า ดิฉัน มิได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และข้อกล่าวหาที่ว่า ทำไมดิฉันไม่ได้ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว แต่กลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการต่อไปนั้น แม้จะถูกกล่าวหาเช่นนี้ดิฉันก็พร้อมที่จะพิสูจน์ให้ชัดแจ้งอีกครั้งว่า โครงการดังกล่าวมีเจตจำนงที่ดีต่อชาวนา และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน โครงการรับจำนำข้าวนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวนา และแม้ว่าชีวิตดิฉัน จะต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา หรือรวมทั้งต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ตามความต้องการของผู้ล้มล้างรัฐบาลในปัจจุบัน แต่ดิฉันก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริง โดยดิฉันหวังว่าจะได้รับความยุติธรรมจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และหวังว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะยอมรับฟังคำชี้แจงและพยานหลักฐาน ของดิฉันให้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะชี้มูลความผิดกระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติธรรมนั้น ย่อมต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ตัวเองเสมอ

ที่สำคัญหากการอำนวยความยุติธรรมต่อตัวดิฉันมีจริง โดยไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆแล้วคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่ควรรีบเร่ง รีบร้อน ในการไต่สวนและชี้มูลความผิด ให้เป็นไปในลักษณะที่จะถูกสังคมกล่าวหาได้ว่า เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ประสงค์ล้มล้างรัฐบาล และหากจะเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ กลับได้รับโอกาสในการได้รับการอำนวยความยุติธรรมอย่างเต็มที่ นับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับคำร้องที่มีการกล่าวหา ดังที่ดิฉันได้กล่าวไว้เบื้องต้นในกรณีการทุจริตในโครงการระบายข้าว ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๒ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน รวมทั้งคดีที่ยื่นและการค้างพิจารณาอยู่อีกเป็นจำนวนมากมาย เช่น กรณี ปรส.

ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนต่อสาธารณชนว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ใช้อำนาจของตนอย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม และเป็นไปตามหลักนิติธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้วหรือไม่

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอเรียนต่อพี่น้องประชาชน และชาวนาว่า อย่างเพิ่งท้อถอยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เราจะร่วมกันในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงไปด้วยกัน และดิฉันพร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาวนาอย่างแท้จริง และหากต้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงอย่างไร เพื่อให้โครงการสัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น ดิฉันก็พร้อมที่จะดำเนินการ ทั้งหมดก็เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน

ขอบคุณและสวัสดีค่ะ


Prime Minister Yingluck Shinawatra's Statement on the National Anti-Corruption Commission (NACC)'s charges over the Rice Pledging Scheme

Respected fellow Thai citizens and dear rice farmers,

I wish to begin by reaffirming that over the past two years since being appointed Prime Minister, I have been committed to serve the people of Thailand with honesty, integrity and every determined effort, as I have always been conscious of the mandate entrusted to me by the Thai people. I shall therefore not let them down; in particular the responsibility to protect the interests of the Thai people and uphold our democratic system with His Majesty the King as the Head of State.

Since the National Anti-Corruption Commission (NACC) has resolved to investigate into the matter upon petition by the Democrat Party, and in the case that the NACC has persistently expressed reason to suspect corruption involved with the Rice Pledging Scheme since 28 January 2014, thereby causing damage to the government; and with the subsequent announcement on 31 January 2014 informing me of this investigation, with the entire NACC making up the investigating committee and the delegating of Professor Vicha Mahakul and Mr.Prasart Pongsiwapai as the responsible committee members for this investigation through an official note which also confirmed that I shall be accorded full rights, treated fairly and transparently in the judicial process by NACC,

I initially believed the NACC, as in consideration of the current position I hold as Prime Minister, that I will be accorded fair and just treatment and that sufficient witness and evidence will be considered throughout the procedures in the reporting of allegations, even though the law specifies that the NACC proceeds promptly, but without rush, in accommodating justice for the accused.

Fellow Citizens

My work as Prime Minister and also as Chairperson of the National Rice Policy Committee is done at the policy level. While at the operational level, the implementation of the Rice Pledging Scheme requires the establishment of a framework, steps, and procedures by government agencies and officials in accordance with the policy direction given.

The government system of work has its own standards and regulations; therefore my work at the policy level does not have the authority to directly operate, order, or overrule the work of government officials in anyway. The implementation of projects involved with a policy must be in accordance with a Cabinet Resolution and must be based on Government Policy as announced to the House of Representatives, stipulated in Articles 171 and 178 of the Constitution of Thailand. I have always been aware that government work and private sector work must be based on such principles and with clear delegation of duties so that there is accountability in all related issues and accountability in each procedure.

Therefore, as there will be an announcement over the investigations into myself and although I have not been involved at the operational level, but nevertheless as I am being accused, I am compelled to exercise my rights within judicial procedures and therefore ask to examine the evidence and witnesses, in accordance with my rights in the judicial procedure as guaranteed by the Constitution of Thailand, so that I can correctly explain such accusations that I have not been involved in any wrongdoing to the NACC.

I have also submitted two official petition notes to the NACC since 11 February 2014, asking them to kindly consider reassigning any other NACC member to undertake the task of investigation, instead of Professor Vicha Mahakul.

However, since that day, I have not been informed by the NACC that my two above-mentioned petitions for justice would be considered or not. Instead, on 18 February 2014, the NACC, through a press briefing by the NACC member that I wished to be substituted, announced that I have been called on 27 February 2014, at 14.00 hrs. to be notified of the charges. If one considers the duration since the NACC assigned its member to investigate the case on 28 January 2014 until the recent announcement on 18 February 2014, it is only just 21 days. This short duration that the NACC used to investigate a political case has never happened before.

Another observation is that a cabinet member in the last government has been charged with corruption on many counts, including corruption charges on their rice insurance scheme. Surprisingly, there has been no judicial development regarding that particular case, whereas it takes only 21 days to investigate and bring charges against me.

My fellow Thai citizens,

I wish to assure you that as I have served my duty with righteousness and contrary to the charges brought against me by the NACC, I have done nothing wrong. On the charges that I did not stop this Rice Pledging Scheme Policy and allowed the scheme to continue, I wish to prove once again that the Scheme will definitely be beneficial to the farmers as it has raised the living standards of our fellow farmers. And though I may be charged in this criminal case and may have to give up my position in accordance to the wishes of those who want to topple my government, I will still lend my full cooperation and give necessary information to the NACC. It is also my fervent hope that the NACC will listen to all accounts of the witnesses before delivering their verdict. The judicial process, under the rule of law, would provide the best opportunity for the accused to prove oneself.

More importantly, if there were indeed true justice without any hidden agenda, the NACC would not have hurriedly investigated and delivered a verdict in such a manner that has allowed society to deem it as beneficial only to those who want to topple the government. And in comparison to previous cases that I have mentioned earlier, for example the rice scheme of the previous government, which is still under investigation since 2013 and other long impending cases such as the bail out of financial institutions from the 1997 economic crisis.

The NACC should prove to the public that it has used its power righteously, in accordance with the principles of the rule of law as stated under the constitution.

Lastly, I urge our dear farmers and the people of Thailand not to be disheartened by this ongoing dilemma. We shall solve this problem and overcome all other obstacles together. I am ready to listen and cooperate with every party to bring about the truth, the effectiveness and productivity of the Rice Pledging Scheme and whether it would really benefit the farmers. Should there be any need to amend the Scheme to be more effective, I am more than welcome as this would truly benefit every single Thai citizen.

Thank you very much.


วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สงครามใกล้จบ..แต่ให้ระวัง!!!


สงครามใกล้จบ..แต่ให้ระวัง!!!
By: ขนมต้ม เว็บราชดำเนิน เสาร์ 8 ก.พ.57

ไม่ได้ตั้งกระทู้เสียนาน แต่เข้ามาอ่านทุกวัน ก็ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างในรอบการต่อสู้ครั้งนี้ ก็ขอวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในช่วงนี้ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะนะครับ

1). ม็อบป้อแป้เต็มทน .... ผมได้มีโอกาสไปสังเกตการณ์ม็อบห่างๆนะครับ คนเหลือน้อยจริง ที่เหลือก็คือ คน กทม. กลุ่มหนึ่งที่ไม่มีอะไรจะทำมาก ไปเย้วๆตอนหลังเลิกงานกับวันหยุด แต่คนพวกนี้ไปกันชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีอะไรมาก ม็อบส่วนใหญ่ มาจากภาคใต้ ก็กลับไปเยอะ (ที่รถคว่ำเสียชีวิต ก็ขออโหสิกรรมให้) แกนนำก็หมดหนทางสู้ เพราะเล่นงัดมาทุกมุข

2). ที่มันพลาดอย่างจังก็คือวันเลือกตั้งนั่นแหละ ที่ชาวบ้านออกมาใช้สิทธิ์มากกว่าที่เขาคิดไว้ ก็เลยพยายามมา "ตะแบง" ข้างๆคูๆ แบบคนประชาธิปัตย์

แถมที่พลาดอย่างหนึ่งก็คือ กลยุทธ์ "ใช้กุ้งฝอยตกปลากระพง" (ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใช้กันจริงหรือเปล่า) ที่ กลุ่มของโกตี๋ (ก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นโกตี๋หรือเปล่า) ที่ออกมาที่หลักสี่วันนั้น ทำให้ เรื่องราวต่างๆ "แจ่มชัด" โดยไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากเลย

เพราะผมเคยอยากจะให้รู้กันไปเหมือนกันว่า ชายชุดดำ นั้นมาจากไหน...และสุดท้าย "ช้างตายทั้งตัว" มันปิดไม่มิด...สุดท้ายก็เผยโฉมจนได้ ว่า ชายชุดดำก็คือกลุ่มคนที่มีความสามารถในทางกลยุทธ์ (ผมไม่ใช้คำว่า "ทหาร" เพราะไม่อยากจะเถียงคุณประยุทธ์) นั่นเอง

คำถามต่อมาก็คือ ตำรวจจะกล้าเล่นมั้ย เอาแบบกระชากหน้ากากกันออกมา แบบกระชากกลุ่มไล่ยิงขวัญชัย นั่นแหละ ถ้าตำรวจทำงานตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมไหน ท่านเป็นคนรักษากฎหมาย ต้องทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ฝากไว้ด้วยครับ




เทือกให้สัมภาษณ์..เสื้อคลุมตัวนี้เก็บมาจากถังขยะข้างโรงแรม ห้อง1804..อ่ะ


3). ย้อนกลับมาที่กลุ่มม็อบ ก็คือม็อบประชาธิปัตย์นั่นแหละ ก็เล่นเกมเหมือนเดิมคือ "โหนกระแส" อันไหนที่คิดว่าตัวเองได้เปรียบ ปชป. รีบทำเลย เกมแบบนี้แก้ง่าย เพราะใช้แค่ "เวลา" เป็นตัวตัดสิน.. ม็อบขี้เห่อแบบนี้ ดึงเกมไว้ยาวๆ ก็หายหมด..

4). ทีนี้ ถ้าดึงเกมไว้ยาวๆ เกิดอะไรขึ้น...พวกเขาจะสติแตก..จะยกระดับการชุมนุม ปิดโน่นปิดนี่...หาเรื่องใหม่ๆ มาโจมตี (ความจริงแทบจะหลับตาพูดก็ได้ว่า เขาจะทำอะไรต่อไปบ้าง) ซึ่งไร้สาระ และไร้สติปัญญามาก เป็นการกระทำแบบอันธพาล ที่พวกเราเคยเห็นมานั่นแหละ

5). เรื่องคนหนุนหลังม็อบ... ตรงนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ...เอาเป็นว่า ..ผมไม่ทราบนะว่าใครหนุนหลังบ้าง แต่เคยแช่งไว้ตั้งแต่ปี 49 แล้วว่า ถ้าใครก็ตามอยู่เบื้องหลังม็อบ หรือ กระทำการช่วยม็อบต่อต้านประชาธิปไตยแบบนี้ ขอให้ล่มจมพินาศ ส่วนจะจริงหรือไม่ เวลาก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์อีกที รอดูกันได้ว่าจะจริงหรือไม่

@ จำนำข้าวอุ้มชาวนาแค่ 130,000 ล้านบาท ชักดิ้นชักงอจะเป็นจะตายให้ได้

6). กรณีเรื่องจำนำข้าว ตรงนี้เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลจริง แต่ถ้าถามถึง "สภาพเป็นจริง" ผมเข้าใจได้ ว่า รัฐ โดนเตะตัดขามาตลอด เอาแค่ พ.ร.บ. งบประมาณ ยังถูกยื่นศาล รธน. ช้าไปอีก เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่า ทำไมก่อนหน้ายุบสภา ถึงไม่จ่ายชาวนา ก็เพราะงบฯ มันถูกเตะตัดขา

ส่วนเรื่องการขายข้าวไม่ออกนั้น อันนี้มีส่วนจริง...แต่เคยพูดหลายครั้งว่า ในฐานะที่ เคยเป็นพ่อค้าขายข้าวส่งออก ขอบอกว่า พ่อค้าบางกลุ่ม รวมหัวกับโรงสี คอยเตะตัดขารัฐบาล โดยมี connection กับพรรค ปชป. อยู่ด้วย เงินที่เคยได้สมัย ปชป. ก็ถูกตัดวงจร

ตรงนี้แหละที่รัฐบาลพลาด... พลาดตรงที่ว่า ความจริงการทำแบบนี้ มันตัดเส้นทางทำมาหากินของเขา..บางอย่าง การค้าการขาย ก็ต้องดูทิศทางและความเหมาะสมไว้ด้วย การช่วยชาวนา นั่นเป็นเจตนาดี แต่วิธีการมันพลาด สมัยทักษิณเขาก็เคยจำนำข้าว สมัยสมัครเป็นนายก ก็เคยจำนำข้าว ตอนนั้นไม่ค่อยมีปัญหา เพราะไม่โดนตัดขาขนาดนี้

@ การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเป็นโมฆะหรือไม่???

7). เรื่อง กกต. มีมติให้ ครม.ออก พระราชกฤษฎีกาฯ ใหม่นั้น ขอบอกว่า ทำไม่ได้...คนเสนอ ควรถูกดำเนินคดี ข้อหา ทำผิด รธน. และ มาตรา 157

8). เรื่องการปฏิรูปนั้น ไม่มีอะไรมาก...เขาแค่อยากออกกฎหมาย ทำยังไงก็ได้ ให้อีกฝ่ายง่อยเปลี้ย แล้วให้ตัวเองแข็งแรง เลือกตั้งชนะ...ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ในขณะที่ พวกหนึ่งก็อยากเข้ามามีอำนาจโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งแบบยุคแต่งตั้ง ส.ว.

อย่าง ประสิทธิ์ บุญเฉย ...คนนี้ ก็น่าจะอยู่ในลิสต์ ของสภาประชาชน นั่นแหละ ไม่ต้องไปหาใครหรอก ไปถามชาวบ้าน เขาเคยได้ยินชื่อหรือเลือกตั้งมาหรือเปล่า

9). กรณีหม่อมอุ๋ยเสนอ...ไม่ต้องไปสนใจหรอก เพราะความคิด..ขอประทานโทษ..ห่วยมาก

10). เกมที่เขาจะเล่นก็คือ ให้ กกต. เตะถ่วงการประกาศผลเลือกตั้งไปเรื่อยๆ และพยายาม build อารมณ์ของผู้คนในสังคมว่า ทำไมยิ่งลักษณ์ไม่ลาออก ให้เกิดการกดดันมากๆ

แต่เอาเข้าจริงๆ คนที่กดดันมากกว่า ก็คือ ม็อบและผู้สนับสนุนนั่นแหละ...

สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำก็คือ..อะไรที่ทำได้ก็ทำไป..เท่าที่จะมีอำนาจตามกฎหมายรองรับ อย่าไปฟังเสียงคนพวกนี้..พวกนี้มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ และการดำเนินคดีต่างๆ ควรเร่งรัดทำ..เพราะให้เวลาคนพวกนี้มาเยอะแล้ว

คนพวกนี้..หมายถึงกลุ่มพวกม็อบและผู้สนับสนุน คือพวกถ่วงความเจริญของประเทศชาติที่แท้จริง

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเป็นโมฆะหรือไม่???



การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเป็นโมฆะหรือไม่???
By: คนการเมือง

@ กกต.จะเสี่ยงทำผิดกฎหมายรึ ???



การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเป็นโมฆะหรือไม่??? ดูจากกฎหมายต่อไปนี้

@ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550

รธน. ม.93

วรรค 3 บัญญัติว่า "หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา"

วรรค 6 บัญญัติว่า "ในกรณีที่มีเหตุการณ์ใดๆ ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใดมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึงสี่ร้อยแปดสิบคน แต่มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ให้ถือว่าสมาชิกจำนวนนั้น ประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎร แต่ต้องดำเนินการให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ครบจำนวนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าอายุของสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่"

จะเห็นได้ว่า รธน. ม.93 (วรรค 6) บัญญัติไว้ชัดเจนถึงกรณีที่เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใดแล้วได้ ส.ส. ไม่ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ ให้ดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.เติมเข้ามาจนครบจำนวนภายในเวลา 180 วัน อันเป็นบทบัญญัติที่สะท้อนให้เห็นว่า เป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ และรัฐธรรมนูญได้หาทางออกไว้ให้แล้ว

@ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ พ.ศ.2550

พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ ม.8 (หมวด 1 ส่วนที่ 1 บททั่วไป)

"ในการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่ามีกรณีอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ให้ประกาศผลการเลือกตั้งว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งภายในเจ็ดวันทำการนับแต่วันเลือกตั้ง

แต่ถ้าเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเหตุอันสงสัยว่ามีกรณีไม่สุจริตและเที่ยงธรรมในเขตเลือกตั้งใด จะยังไม่ประกาศผลสำหรับเขตเลือกตั้งนั้นก็ได้ แต่ต้องสอบสวนและวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง ทั้งนี้ การประกาศผลการเลือกตั้งไม่มีผลกระทบกระเทือน

การดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามหมวด 1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนที่ 10 การดำเนินการกรณีการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และส่วนที่ 11 การคัดค้านการเลือกตั้ง"

พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ ม.78 (ส่วนที่ 7 การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง)

วรรคแรก ในกรณีที่การลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งแห่งใดไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากเกิดจลาจล อุทกภัย อัคคีภัย เหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอย่างอื่น ถ้าเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งกำหนดที่เลือกตั้งใหม่ ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถไปลงคะแนนเลือกตั้งได้โดยสะดวก แต่ถ้าไม่อาจกำหนดที่เลือกตั้งใหม่ได้ ให้ประกาศงดลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งนั้น แล้วรายงานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยด่วน

วรรคสอง ในกรณีที่เหตุตามวรรคหนึ่งเกิดขึ้นในวันเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการประจำเขตเลือกตั้งหรือคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ประกาศงดลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งนั้น แล้วรายงานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยด่วน

วรรคสาม ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งนั้นโดยเร็ว เว้นแต่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะกำหนดเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

วรรคสี่ ในการดำเนินการตามวรรคสาม ถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามมาตรา 8 ได้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง จัดให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งใหม่สำหรับหน่วยเลือกตั้งนั้นได้ตามความเหมาะสมโดยไม่ต้องนำระยะเวลาตามวรรคสามมาใช้บังคับก็ได้

ม.78 วางแนวทางไว้แล้วว่า หน่วยเลือกตั้งใดไม่สามารถเลือกตั้งได้ ให้ กกต.กำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งนั้นโดยเร็ว หรือ กกต.จะกำหนดได้ตามความเหมาะสม

พ.ร.บ.การเลือกตั้งฯ ม.102 (ส่วนที่ 9 การลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง)

วรรคแรก การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามส่วนที่ 9 นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจดำเนินการล่วงหน้าเพื่อนำบัตรเลือกตั้งมานับรวมในวันเลือกตั้งได้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเฉพาะท้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะกำหนดเป็นอย่างอื่นก็ได้

วรรคสอง ในกรณีที่บัตรเลือกตั้งส่งมาถึงสถานที่นับคะแนนของเขตเลือกตั้งใดหลังจากเริ่มนับคะแนนแล้วให้ถือว่าบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นบัตรเสีย

วรรคสาม ในกรณีที่บัตรเลือกตั้งจากที่ใดสูญหาย หรือมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งที่ใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยสั่งมิให้นับคะแนนจากที่นั้นก่อน แล้วจึงสั่งให้บัตรเลือกตั้งจากที่นั้นเป็นบัตรเสีย

ตาม ม.102 การลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง (ที่เรียกว่าเลือกตั้งล่วงหน้า) เมื่อมีเหตุจำเป็นเฉพาะท้องที่ จะไม่นำบัตรมานับรวมในวันเลือกตั้งก็ได้ เป็นข้อยกเว้นที่สะท้อนให้เห็นว่าเป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้และกฎหมายได้มีทางออกไว้ให้แล้ว

@ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550

ทั้งหมดนี้ อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กกต.ทั้งสิ้น ตาม พ.ร.บ. กกต. ม.10

และ ม.29 ยังกำหนดว่า "ห้ามมิให้กรรมการการเลือกตั้ง... กระทำการหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง..."

กกต.ไม่ต้องกลัว เพราะในการปฏิบัติหน้าที่นั้น ถ้ากระทำการตามหน้าที่โดยยึดหลักสุจริต ยึดหลักกฎหมาย ก็ย่อมได้รับความคุ้มครอง ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง

ทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเป็นโมฆะหรือไม่ ขอให้วิญญูชนได้พิจารณา

วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผลาญไปแล้ว 1,748,000 ล้านบาท แค่ 4โครงการ เท่านั้นนะจ๊ะ


ภาพจาก ชมรมคนรักการถ่ายภาพ จ.บุรีรัมย์

ปชป. ผลาญไปแล้ว 1,748,000 ล้านบาท แค่ 4โครงการ เท่านั้นนะจ๊ะ ... จำนำข้าวอุ้มชาวนาแค่ 130,000 ล้านบาท ชักดิ้นชักงอจะเป็นจะตายให้ได้ ...

ย้ำ...แค่ 4โครงการ เท่านั้น ผลาญไปแล้ว 1,748,000 ล้านบาทจิ๊บๆ ...
> เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท
อ้างอุ้มชนชั้นกลาง งบ 18,000 ล้านบาท..ไม่เป็นไร
> ปรส.
อ้างอุ้มคนรวย (ล้มบนฟูก) 800,000 ล้านบาท..ไม่เป็นไร
> ประกันราคาข้าวขาดทุน 130,000 ล้านบาท
อ้างอุ้มชาวนา..ไม่เป็นไร
> ไทยเข้มแข็ง กู้เงิน 800,000 ล้านบาท
อ้างนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ..ไม่เป็นไร
รวมยอดพรรคประชาธิปัตย์ ผลาญเงิน..แค่ 4โครงการ
ผลาญไปแล้ว 1,748,000 ล้านบาท
ตัวเลขกลมๆ หนึ่งล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นแปดพัน ล้านบาท
แล้วจำนำข้าวขาดทุน เพื่ออุ้มชาวนา..ไม่ได้หรือ?
หรือต้องอุ้มชาวนาเฉพาะตอนประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล?

รัฐบาลรับจำนำข้าว 5 รอบ มีชาวนามีรายได้เพิ่มจากโครงการ 3,260,000 ครอบครัว

ณัฐวุฒิแจงเรื่องจ่ายเงินจำนำข้าวชาวนา 8กุมภา57

By songvit : รัฐบาลปูจ่ายเงินให้ชาวนาไปแล้วประมาณ 6.8 แสนล้านบาท ขาดทุนปีละประมาณ 1.2 แสนล้านบาท เงินส่วนนี้ตกไปอยู่ในมือชาวนา ทำให้เกิดการบริโภค หมุนเวียนในตลาด สะพัดหลายรอบ

By songvit : ส่วนประกันสมัยรัฐบาลมาร์ค ใช้ไป 1.3 แสนล้านบาท แต่เอาไปแจกให้กับเจ้าของโฉนดที่ดินที่มาขึ้นทะเบียนสูงถึง ห้าสิบล้านไร่ ทั้งๆที่มีที่นาในประเทศทำนาอยู่เพียง สามสิบห้าล้านไร่ เท่านั้น..ราคาข้าวยังตกต่ำอยู่ หกเจ็ดพันเท่านั้น ไม่ได้สูงขึ้นเหมือนปัจจุบัน..หมื่นสองถึงหมื่นห้า..


By songvit : เมื่อรัฐบาลสามารถดึงราคาที่เคยขายได้ตันละหกเจ็ดพันมาเป็นหมื่นสองถึงหมื่นห้า ผ่านนโยบายจำนำข้าว หากวันใดราคาข้าวขึ้นติดลมบน ตลาดรับซื้อเกินหมื่นสองเป็นต้นไป รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องรับจำนำอีกต่อไป ชาวนารู้ด้วยใจ อำมาตย์ก็รู้ดี จึงขัดขวางทุกวิถีทาง...

By ping : ต้องทำให้ราคาตลาดเป็นของคนผลิต ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนซื้อ ทำแบบที่โอเปคตั้งราคาน้ำมัน

By payai97 : เพราะจุดมุ่งหมายหลักคือ..ต้องการช่วยเหลือชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบทุกเม็ด..ชาวนาจึงต้องจนดักดานอยู่อย่างนี้


By iamnotslave : ไม่ต้องคิดอะไรมากร๊อก ชาวนามีเงินมาก ก็ใช้มาก เงินก็ไปหมุนเวียนในระบบ มันก็เพิ่มมูลค่าขึ้น ชาวนาคงไม่หอบเงินไปฝากแบ็งค์กินดอกเบี้ยหรือเอาไปช็อบปิ้งต่างประเทศ นโยบายประชานิยมนี่แหละดีที่สุด เพราะคนรากหญ้า คนยากจนด้อยโอกาส เป็นผู้กระจายเงินให้หมุนเวียน แล้วกลับมาเป็นภาษี เอามาพัฒนาประเทศ ไม่มีประชานิยมประเทศไหนในโลกนี้ที่ทำให้ประเทศเจ๊ง

By ping : ชาวนามีเงิน พ่อค้าก็รวยขึ้น ถูกต้องแล้วครับ

By songvit : อำมาตย์ก็รู้ดี จึงขัดขวางทุกวิถีทาง...

By maeping : เหมือน 30บาทรักษาทุกโรค เริ่มใหม่ๆแมงสาปอำมาตย์ก็ต่อต้านเต็มที่


By Chaiworamon : หากโครงการรับจำนำข้าว ทำสำเร็จและเป็นบรรทัดฐานไว้ ก็ไม่มีใครจะมาล้มได้ เช่นเดียวกันกับ โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนยากจน มิใช่โรงพยาบาลของรัฐได้กำไร...จำนำข้าวเช่นกัน กำไรอยู่ที่ชาวนา มิใช่จากการค้าข้าว และสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ คือ "คุณภาพชีวิตของชาวนา" มิใช่ว่าได้กำไรมากขึ้นแต่อย่างเดียว จริงๆแล้ว อยากให้รัฐบาลเปลี่ยนชื่อโครงการรับจำนำข้าวเสียใหม่ให้เป็นภาพรวมๆ เช่น "โครงการยกระดับคุณภาพชาวนา" (ซึ่งมิได้อยู่กับราคาข้าวอย่างเดียว)

By Chaiworamon : สั้นๆครับ! สิ่งที่พวกเขาต้านและรัฐบาลถูกโจมตีอย่างหนัก นั่นหมายถึง รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว เรื่องการทุจริตในบางขั้นตอน มันแก้ไขได้...แต่ทำไมถึงจะต้อง จับชาวนาเป็นตัวประกัน ทำไมจะต้องคว่ำรัฐบาล ทำไมจะต้องล้มเลิก โครงการนี้ไม่ได้มีปัญหามากมายแต่อย่างใด แต่มีปัญหากับผู้มีอำนาจตัวจริง...ที่ไม่อยากให้เกิด และตามขัดขวางมาโดยตลอด เมื่อไม่อยากให้เกิด ก็เลยเกิดปัญหา....อย่าไปบ้าจี้ตามพวกล้มรัฐบาลเลยครับ!

@ แค่ 4โครงการ เท่านั้น

By คนการเมือง : การประกัน คือ การชดเชยเงินที่ชาวนาขายได้ต่ำกว่าราคาประกัน (การประกันราคา รัฐฯจ่ายเงินให้ไปฟรีๆ จ่ายไปเท่าไหร่ก็ขาดทุนเท่านั้น ไม่มีทางได้เงินคืน และข้าวก็ไม่ได้สักเมล็ด)

ลองคิดดูแบบ หยาบๆง่ายๆ สมมุติ...ราคาตลาดโลก 10,000 บาท รัฐฯก็ประกันที่ 10,000 บาทเหมือนกัน

แต่พ่อค้ามาซื้อกด 6,000 รัฐฯต้องชดเชย 4,000 พ่อค้าไปขายก็จะได้กำไร 4,000 เหมือนกัน

แปลว่า เงินที่ชดเชยให้ชาวนาปีหนึ่ง ในระบบประกันประมาณ 70,000 ล้าน ก็แปลว่า พ่อค้าก็กำไรปีละประมาณเดียวกันนั้น

แล้วพ่อค้าส่งออกรายใหญ่เมืองไทยมีกี่ราย แบ่งกันอู่ฟู่เลย แล้วอย่างนี้ พวกนี้ ทำไมจะไม่ชอบ การประกัน ...ตกลงในความเป็นจริง รัฐบาลกำลังเอาเงินให้ชาวนา หรือ กำลังเอาเงินให้พ่อค้า

การที่ ชาวนา เอาข้าวมา จำนำ ต้องเป็นผู้ลงทะเบียนกับรัฐฯไว้ครับ (การรับจำนำ ชาวนาสามารถไถ่คืนได้ถ้าที่อื่นหรือพ่อค้าให้ราคาสูงกว่าจำนำ ส่วนรัฐฯได้ข้าวเก็บไว้ในสต๊อก ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี รัฐฯอาจขายข้าวได้ดีกว่าที่รับจำนำมาก็จะได้กำไร สามารถนำเงินที่ขายมาหมุนเวียนรับจำนำข้าวต่อไปได้อีก หรือถ้าบริหารไม่ดีราคาข้าวในตลาดต่ำกว่าที่รับจำนำมาก็ขาดทุน ซึ่งอาจจะน้อยกว่าเงินที่เอาไปอุดหนุนการประกันราคาก็ได้)

By คนการเมือง : ต้องบอกก่อนนะครับว่า นี่คือข้อมูลจากเพื่อนที่เป็นเจ้าของที่นาให้เช่า ยอมรับออกมาว่า การประกันสมัย รบ.ก่อน เขารับเงินเอง ทั้งที่เขาไม่ได้ทำนา แต่ชาวนาที่เช่าที่เขาทำนาไม่ได้สักสลึง

คืองี้... การประกัน โดยให้เจ้าของที่ดิน นำโฉนดไปลงทะเบียน แม้ว่าที่ผื่นนั้นจะให้ผู้อื่นเช่าทำนาไปแล้วก็ตาม โดยรัฐฯจ่ายเงินส่วนต่างให้กับผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ส่วนชาวนา อด ไม่เกี่ยว

มิน่าถึงออกมาคัดค้านการจำนำ เพราะ จำนำข้าวชาวนารับเอง เจ้าของที่ดิน ไม่เกี่ยว...

เจ้าของที่นา นายทุนได้ทั้งค่าเช่า ได้ทั้งเงินค่าประกันราคาข้าว..แบบนี้นี่เองถึงค้านกัน

ช่วยประชาสัมพันธ์ครับ โครงการดีน่าสนใจ

ช่วยประชาสัมพันธ์ครับ โครงการดีน่าสนใจ

คำถาม : ทำไมไม่ขายข้าว...ทำไมต้องกู้มาจ่าย...ทำไม ไม่เข้าใจ???

คำตอบ : By: You raise me up / ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า..โครงการจำนำข้าวของรัฐบาล จุดประสงค์คือต้องการยกระดับราคา ให้ชาวนาได้ขายได้ราคา โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางที่ชอบกดราคา เมื่อรัฐบาลสามารถดึงราคาที่เคยขายได้ตันละหกเจ็ดพันมาเป็นหมื่นสองถึงหมื่นห้าผ่านนโยบายจำนำข้าว หากวันใดราคาข้าวขึ้นติดลมบน ตลาดรับซื้อเกินหมื่นสองเป็นต้นไป รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องรับจำนำอีกต่อไป ชาวนารู้ด้วยใจ อำมาตย์ก็รู้ดี จึงขัดขวางทุกวิถีทาง...

ข้าวไม่ได้ขายในเซเว่น ถึงจะขายกันได้ง่ายๆทุกวันแบบขนมจีบ ซาลาเปา พูดกันอยู่ได้ว่าทำไมไม่รีบขาย รู้ได้ไงเขาไม่ได้ขาย เขาก็เปิดประมูลไปเรื่อยๆครั้งละไม่เกิน 500,000 ตันบ้าง 300,000 ตันบ้าง แต่มันไม่ทันเอาเงินมาหมุนในภาวะที่เป็นสูญญากาศแบบนี้ เพราะขั้นตอนที่ต้องเปิดประมูลประกวดราคา ต้องแข่งราคา และต้องต่อรอง......มันไม่จบง่ายๆในวันสองวัน

แต่ถ้าเทขายทั้งหมดตอนนี้แบบถูกบังคับขายราคาจะได้ต่ำ ก็จะเสร็จพวกพ่อค้าข้าวที่จ้องซื้อข้าวไปกักตุนไว้ขายฟาดกำไรบานตอนช่วง เมษา - มิถุนา พวกพ่อค้าจ้องอยู่ ทำให้พวกพ่อค้าข้าวร่วมมือกับม็อปกดดันให้สร้างข่าวลือ ข่าวเท็จทำลายชื่อเสียงเพื่อให้ราคาข้าวตก จะได้ซื้อในราคาถูก

อีกอย่าง..ปริมาณข้าวมีมากเกินความต้องการของตลาด รัฐบาลต้องทยอยขาย ถ้ารีบขายจะได้ราคาถูกมาก และก็ขายไม่ออกเพราะมันเกินความต้องการไง เข้าใจม่ะ แล้วถ้าจะดั้มราคา ผู้ส่งออกข้าวประเทศอื่นก็จะซวยไปด้วยเพราะจะไม่สามารถแข่งขันได้ แต่ถ้ารัฐบาลขายตอนช่วงข้าวโลกขาดตลาดก็จะได้ราคางามเช่นกัน

ปกติก็ต้องกู้มาจ่ายล่วงหน้าไปก่อน ถ้าไม่กู้จะเอาเงินจากไหนมาจ่าย เดี๋ยวขายข้าวได้เงินมันก็มาทดแทนเอง ทำธุรกิจต้องใจเย็นหน่อย คงต้องไปลงเรียนสาขาบริหารธุรกิจหรือเศรษฐศาสตร์สักหน่อยน่าจะดี อาจจะมองอะไรในด้านธุรกิจได้ดีขึ้น

ส่วนการจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดีมั้ย จุดประสงค์ดีคือต้องการยกระดับราคา ให้ชาวนาได้ขายได้ราคา โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางที่ชอบกดราคา แต่กระบวนการในการดำเนินงานนั้นหย่อนยานเมื่อเทียบกับพวกจ้องจะโกงในทุกวิถีทาง

ถ้าคิดในแง่ดี ถ้าอาชีพชาวนามันสามารถลืมตาอ้าปากได้ดี คนก็อยากจะทำ แต่ถ้าทำแล้วจนๆๆ คนก็พากันเลิกทำนาออกมาหางานทำในเมือง สุดท้ายอาจมีปลาตัวใหญ่เข้ามาผูกขาดทำนาแบบอุตสาหกรรม และสามารถกำหนดราคาได้ เพราะไม่มีคู่แข่งเหมือนที่เราเห็นในปัจจุบัน หรือไม่อาจไม่มีคนอยากทำนา ไทยอาจต้องไปซื้อข้าวจากต่างประเทศก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

ดูกันชัดๆ ศาล รธน.ค้านกู้เงิน 2ล้านล้าน / เดือด! นศ.สอน อจ. กปปส.ไม่มีสิทธิ์ยึดอำนาจประชาชน



ดูกันชัดๆ ไฮไลต์!!! การไต่สวน ศาลรัฐธรรมนูญ ค้านกู้เงิน 2ล้านล้าน รอถนนลูกรังหมดก่อน
ที่มา : รายการ Chat Room Voice TV

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บอกกับคุณชัชชาติ การกู้เงินไม่สามารถจะนำมาใช้ได้ทันที จึงเห็นว่ารถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับไทย และเป็นไปได้ควรให้ถนนลูกรังหมดไปจากประเทศก่อน

คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยาน ในคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ ว่า ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2ล้านล้านบาท มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือ ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่


ช่วงหนึ่งของการไต่สวนพยาน คุณสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้ความเห็นส่วนตัว ขณะที่ซักถามถึงความจำเป็นการออกตรา ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2ล้านล้านบาท กับ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เข้าเบิกความต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำเป็นหรือไม่ที่จะมีรถไฟความเร็วสูงจาก กรุงเทพฯไป เชียงใหม่

คุณสุพจน์ ยังบอกว่า ความเห็นส่วนตัวเป็นห่วงถึงการกู้เงิน อาจเป็นการสร้างภาระหนี้ให้กับลูกหลานหลังจากนี้ และบอกกับคุณชัชชาติว่า เป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งมาแล้วก็ไป ดังนั้นการกู้เงินไม่สามารถจะนำมาใช้ได้ทันที จึงเห็นว่ารถไฟความเร็วสูงยังไม่จำเป็นสำหรับไทย และเป็นไปได้ควรให้ถนนลูกรังหมดไปจากประเทศก่อน

ส่วนคุณเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถามกับคุณชัชชาติว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้ สนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ โดยคุณชัชชาติ ก็ให้คำตอบว่า สนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง เพราะการสร้างรถไฟความเร็วสูงจะทำให้เกิดการกระจายรายได้ สู่ชนบท ลดความเหลื่อมล้ำ

[ Comment : การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงนั้น ควรมองที่ผลพวงที่จะได้ตามมา อย่างน้อยที่เห็นชัดแจ้ง ก่อให้เกิดงานนับพันตำแหน่ง ระหว่างก่อสร้างต้องใช้แรงงานเป็นแสน เป็นการกระจายรายได้อย่างดีเยี่ยม สร้างเสร็จตำแหน่งงานมีอีกเป็นพันตำแหน่ง การท่องเที่ยว การกระจายสินค้าสู่ภาคต่อภาค สะดวกรวดเร็ว ]


@ ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

ขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีคำวินิจฉัย ด้วยเสียงข้างมากว่า การที่ คุณสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา คุณนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และสมาชิกรัฐสภา 381 คน ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่จำกัดอำนาจรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร เข้าข่ายเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองและกระทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 68

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้แล้ว ทางพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมจะระดมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นคน เข้าชื่อเพื่อร้องต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งเรื่องไปยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้ชี้มูลและส่งเรื่องให้วุฒิสภา ดำเนินการถอดถอนต่อไป


พ.ร.บ. ที่เรียกกันติดปากว่า 2ล้านล้าน จะเอาไปทำอะไรมั่ง???
@ pdf โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2ล้านล้าน



เดือด! นักศึกษาพระจอมเกล้าสอน อจ. กปปส.ไม่มีสิทธิ์ยึดอำนาจประชาชน

เมื่อเวลา 16.40 น.ของวันที่ 8 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม3 อาคาร12 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้มีการจัดเสวนาหัวข้อ "ลูกพระจอม กับการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทย" ที่จัดขึ้นโดย ผศ.ดร.คมสัน มาลีสี รองคณบดีคณะวิศวฯของลาดกระบังเอง

ผลสรุปไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่หวัง มีผู้ร่วมรับฟัง ราวๆ 40 คน และส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่มาพร้อมความสงสัยในแนวทางของ กปปส. และการเคลื่อนไหวของตัวอาจารย์ที่ใช้สถาบันพระจอมเกล้าในการแสดงออก จนเป็นที่ถกเถียงเป็นระยะๆ จากฟากฝั่ง นศ.ที่คิดต่าง

อจ.พร่ำอยู่กับ กปปส. นศ.ทนไม่ไหว ลุกขึ้นสอน กปปส.ไม่มีความชอบธรรมเอาอำนาจของประชาชนทั้งประเทศไป แล้วไปตัดสินโดย กปปส. หรือคณะใดคณะหนึ่ง เมื่อนั้นประเทศไทยจะนำไปสู่การนองเลือด ประชาชนจะไม่มีใครยอม โดยเฉพาะคนที่เขาสูญเสียมาโดยตลอด และเขาแพ้มาตลอด เขาจะรักษาอำนาจของเขาให้เต็มที่

ฝ่าย อจ.เงิบๆ แถๆ ต่อไป

ส่วน ตอนที่ 2 ผู้ปกครองนักศึกษาท่านนี้มาด้วยความเป็นห่วงบุตรหลานว่าจะตกเป็นเครื่องมือของอาจารย์ที่ใช้ สถาบันไปเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงเข้ามาร่วมรับฟังและแสดงความเห็น

" ไหนตอนแรกบอกรับผิดชอบ ???? ตอนจบบอกให้ดูแลตัวเองให้ดี ???? "

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

ใส่เสื้อขาว เปิดไฟหน้า สนับสนุน"เลือกตั้ง" ไม่เอา"เทือกตั้ง"



@ ประชาชนสวมเสื้อขาวร่วมกลุ่ม ANTs′ POWER ปล่อยลูกโป่งสนับสนุนเลือกตั้ง 2ก.พ.57



@ อัลบั้ม 2กุมภา..กาเบอร์ 15 ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

กกต.จะเสี่ยงทำผิดกฎหมายรึ ???


ม.29 พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550

ม.43,44,45 พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550

@ ม.7(1) พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว. พ.ศ.2554
@ ม.309 ประมวลกฎหมายอาญา
@ ม.108 รธน.2550
@ พ.ร.บ.ประกอบ รธน.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

ทักษิณ บุรุษผู้โง่เขลา เบาปัญญา..นายกรัฐมนตรีปี 2544-2549



ไทยคม ในความทรงจำของทักษิณ "ไม่ใช่ความโลภแต่เป็นสิ่งต้องทำ"

สำหรับความเป็นมาของดาวเทียมไทยคมนั้นถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ทำให้ชายที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในทางธุรกิจ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเล่าถึงความพยายามในการก่อร่างสร้างดาวเทียมไทยคมไว้ในหนังสือ "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกอัตชีวประวัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเป็นทางการเอาไว้ดังนี้...

พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าว่า อันที่จริงหลังบรรลุถึงบันไดขั้นสูงสุด คือ นำบริษัท(เครือชินวัตร)เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯก็นับได้ว่าทั้งธุรกิจในเครือและสถานะของครอบครัวผมถือว่ามั่นคงแล้ว ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนทำกิจการอะไรเพิ่มเติมต่อไปอีกก็ได้ แต่ผมไม่หยุดอยู่เพียงนั้น ตามประสาคนชอบสรรหาเรื่องมาคิดลับสมอง เมื่อผมมองย้อนกลับมาดูภาพรวมทั้งหมดของธุรกิจ

ผมจึงพบว่ายังมีบางอย่างที่ต้องเพิ่มเติมเข้าไป ถ้าเปรียบธุรกิจโทรคมนาคมของผมเป็นภาพจิ๊กซอว์ ภาพนี้ยังขาดจิ๊กซอว์ตัวใหญ่และสำคัญไปตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวที่ผมบอกกับภรรยา ปั๊บเธอคัดค้านทันที

อ้อ(คุณหญิงพจมาน ชินวัตร)ว่า เราเหนื่อยมามากแล้วพอแค่นี้เถอะตอนนี้ทุกอย่างก็มั่นคงหมดหนี้สิน ครอบครัวมีเงินพอใช้ไม่เดือดร้อน อย่าไปโลภอีกเลยค่ะ คุณอ้ออุทธรณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องของความโลภหรือผลประโยชน์เลยน่ะน้องอ้อ แต่เป็นการทำสิ่งที่ควรทำ

จิ๊กซอว์ส่วนสำคัญดังกล่าว คือ ดาวเทียม ซึ่งเวลานั้นเป็นเรื่องไกลเกินฝันของคนไทยมาว่าจะมีดาวเทียมเป็นของคนไทยเองได้อย่างไร แม้รัฐบาลคือกระทรวงคมนาคมพยายามจะหาเอกชนเข้ามาทำมานานหลายปีแล้ว ผมจึงเข้าใจว่าเหตุไรคุณอ้อจึงไม่เห็นด้วย ออกจะเห็นใจด้วยซ้ำว่าเธอคงอยากผันตัวเองไปเป็นแม่บ้านเต็มตัวสักทีและอย่าว่าแต่เธอซึ่งเป็นแม่บ้านเลย ต่อให้นักธุรกิจทั่วไปก็คงไม่คิดจะลงทุนทำธุรกิจนี้

น้องอ้อต้องเข้าใจว่าเหมือนเราขับเครื่องบินขึ้นไป ถ้าเครื่องโผจากพื้นดินแล้วยังขึ้นไปไม่ถึงความสูงระดับ 30,000 ฟุต กัปตันก็ไปกินกาแฟไม่ได้ เพราะเครื่องบินยังไม่ได้ระดับ ทำนองเดียวกับธุรกิจโทรคมนาคม เราต้องผลักดันให้มันไปถึงจุดหนึ่ง นั่นคือการมีดาวเทียม

อีกไม่นานระบบสื่อสารจะเกิดการ marriaged (รวมตัวกัน) ทางเทคโนโลยีระหว่างข้อมูลเดต้าหรือคอมพิวเตอร์ วิดีโอ กับโทรคมนาคม เรามีธุรกิจในกลุ่มนี้ครบทุกอย่าง แต่ยังขาดเน็ตเวิร์กหรือสิ่งที่จะมาครอบคลุมเชื่อมโยงธุรกิจทั้งหมดนี้อีกทีหนึ่ง

ทีนี้เน็ตเวิร์กนี่สำหรับประเทศไทยแล้วทำได้ 2 ทางคือ ทางพื้นกับทางอากาศ ทางพื้นลงทุนสูงมากและใช้เวลานาน เหลือแต่ทางอากาศก็คือดาวเทียม โดยเทคโนโลยีแล้วนี่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้องที่สุด

คุณอ้อเธอคงอยากให้กัปตันของเธอปลีกตัวไปกินกาแฟได้เสียที ในที่สุดจึงยอมเห็นด้วยกับการโหมโรงทำธุรกิจมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ธุรกิจที่การลงทุนครั้งแรกถือว่าใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราสองคน

อาจกล่าวได้ว่าปี2533 เป็นปีที่สำคัญที่สุดของชีวิตการทำธุรกิจของผมเพราะโครงการใหญ่ๆ อันเป็นรากฐานแท้จริงของชินวัตรล้วนกำเนิดในปีนี้ โครงการดาวเทียมก็เช่นกัน ชินวัตรเข้าร่วมประมูลสัมปทานดาวเทียมในยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แข่งกับอีก 5 บริษัทใหญ่ คือ ไทยแสท,โมดูลาร์,แอซตรา,คอมแสท และ วาเคไทย

แต่คราวนี้เรามีความพร้อมมากกว่าโครงการใดๆที่ผ่านมาเนื่องจากได้อาศัยใบบุญความสำเร็จของโครงการก่อนหน้า ไม่ต้องเตรียมงานแบบยาจกเหมือนโปรเจ็กต์อื่น ผมจึงเชื่อมั่นอย่างไรเราจะต้องประมูลได้แน่นอน โดยการเสนอผลประโยชน์ให้รัฐ 15.33% ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี และประกันผลกำไรขั้นต่ำไว้ 1,350 ล้านบาท

ผมถือว่าโครงการดาวเทียมไทยคมเป็นความ ภาคภูมิใจ ร่วมของคนไทยที่จะได้มีดาวเทียมเป็นของชาติตนเองเสียที ไม่ต้องไปพึ่งพาต่างด้าวอีก

ผลการเปิดซองประมูลโดยมีคุณศรีภูมิ ศุขเนตร ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานสรุปว่า ผู้เสนอประโยชน์สูงสุดให้แก่รัฐ คือ ชินวัตร จุดเริ่มต้นของโครงการไทยคมจึงออกจะดูสวยงามกว่าโครงการเก่าทุกโครงการ และตามรูปการแล้ว ผมควรจะได้เริ่มโครงการในปี 2533 นั้นเลย

แต่ชีวิตผมไม่เคยได้ทำอะไรง่ายๆ ตามความตั้งใจ ทุกครั้งมักจะมีอุปสรรคแวะเข้ามาทักทายเสมอ แม้กระทั่งโครงการดาวเทียมไทยคม ซึ่งลงมือ ณ วันที่ความพร้อมด้านธุรกิจแทบจะสมบูรณ์ที่สุด เป็นอุปสรรคที่ลากโครงการให้ยืดยาวออกไปเกือบ 2 ปีกว่าจะลงมือได้จริงจัง และเป็นอุปสรรคที่ลากเอาชื่อเสียงของผมเข้าไปเกี่ยวกับความเปรอะเปื้อนของวงการเมือง ตั้งแต่ผมยังไม่เข้าไปทำการเมืองเสียอีก

ขอบคุณเนื้อหา : หนังสือตาดูดาวเท้าติดดินหน้า 138


ทักษิณ บุรุษผู้โง่เขลา เบาปัญญา..นายกรัฐมนตรี
ปี 2544-2549

By: หนุมานมาเอง เว็บ thaifreenews

ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่มีฐานะการเงิน การคลังดี เงินสำรองมากมาย ยกเลิกรับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ และประกาศให้การช่วยเหลือประเทศอื่น รวมทั้งให้กู้ด้วย...นั่นเกิดขึ้นในยุครัฐบาล ทรท.

มองย้อนกลับไปก่อน19ก.ย.2549...บัดnow มันหายวับไปกับตา...ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่มีฐานะการเงิน การคลังดี เงินสำรองมากมาย ยกเลิกรับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ และประกาศให้การช่วยเหลือประเทศอื่น รวมทั้งให้กู้ด้วย...

เสียดายโอกาสประเทศไทยจริงๆ...ดูทีไร...เสียดายทุกที...พับผ่า!

สุดยอดจริงๆ คิดได้อย่างไร...ได้โปรดกลับมา ทำ Mind Map ต่อเถิดครับ ท่านนายกฯทักษิณ...

บุคคล คนนี้ ประสบความสำเร็จในชีวิตในด้านการงานรวยมีเงินเป็นหมื่นๆล้าน แต่ก็ยังอยาก ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือรักษาธุรกิจ ตัวเองไว้ก็มิทราบได้ แต่การที่เขาก้าวเข้าสู่การเมือง ก็ประกาศสงครามกับคนชั่วๆ ทั้งหลายในชาติบ้านเมือง ซึ่งก่อให้เกิด ผลกรรม ที่กระทำในภายภาคต่อมา โดยนโยบายแต่ละอย่างที่ออกมานั้นผู้ที่เสียผลประโยชน์ ซึ่งหากินกับรากหญ้า หรือผู้ที่อ่อนแอกว่านั้น ได้สูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัวไปมากมาย

1. ประกาศสงครามกับยาเสพติด นโยบายนี้เมื่อเริ่มดำเนินการ ก่อให้เกิดผลดีแก่ชาติ มหาศาล จากที่ประชาชน เยาวชน ที่ติดยาบ้า มีข่าวจี้ตัวประกันรายวัน พาดหัวหนังสือพิมพ์ อยู่ทุกวัน กลายเป็นการฆ่าตัดตอน โดยฝ่ายที่เป็นเจ้าหน้าที่ หรือ พวกเดียวกันเอง ซึ่งก็ไม่มีใครทราบได้ แต่ก็โดนใส่ร้ายโดย นักสิทธิมนุษยชนว่า โดนฆ่าตัดตอนโดยฝ่ายรัฐบาล แต่ก็โดนประชาชนตบหน้า โดยการสำรวจว่าพอใจในนโยบายและการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลเป็นอันดับ 1 ตลอดการบริหารงานของรัฐบาลแม้ว 1

2. ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งงานนี้ ผู้มีอิทธิพล ในประเทศไทย ก็ไม่มีใคร นอกจากพวกที่มีสีทั้งหลาย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้ง ตร. ทห. ขรก. ที่มีอำนาจอยู่ในมือและ ใช้อำนาจโดยมิชอบเป็นผู้เสียหายจากนโยบายนี้ อย่างมาก จึงก่อเกิดให้มีการปฏิวัติตามมา ในยุคนี้ซึ่งไม่น่าจะมีเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเลยในประเทศไทย

3. จัดระเบียบสังคม งานนี้ต้องยกนิ้วให้กับ ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ดำเนินการจัดระเบียบสังคมให้กับเมืองไทย กับสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืน ที่มอมเมาเยาวชน ที่ปล่อยปะ ละเลยมานานปล่อยให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปเที่ยว มัวเมากับอบายมุขชนิดนี้ ซึ่งผู้ที่เสียหายจากนโยบายนี้กว้างขวางทั้ง ผู้มีอิทธิพลที่มีสีทั้งหลายที่เรียกเก็บ หัวคิวจากร้านที่อนุญาตให้เปิดเกินเวลา และให้เด็กอายุน้อยเข้า ซึ่งพวกนี้ คุมโดยสีกากี และสีเขียว เสียหายกันมาก

4. 30บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่ทำให้หมอที่เปิดคลินิกเสียหายกันอย่างมาก และการที่จะออกกฎหมายให้หมอสั่งจ่ายยาได้อย่างเดียว ไม่สามารถ ขายยาได้ก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้ กลุ่มชนชุดสีขาวที่มีรายได้จากส่วนนี้ ต่อต้าน

5. หวยบนดิน ปฏิเสธไม่ได้ว่า หวยใต้ดินนั้นอยู่คู่เมืองไทยมานานไม่มีใครปราบได้ แต่มายุติ ในยุคของนายกคนนี้ ผู้ที่เสียผลประโยชน์ซึ่งมีมูลค่าเป็นหมื่นล้านต่อปี ย่อมไม่พอใจท่านเป็นธรรมดา เจ้ามือหวย รวมทั้งสีกากีที่มีผลประโยชน์ในด้านนี้ด้วย ก็จะรุมจวกท่านเป็นธรรมดา

6. กองทุนหมู่บ้าน SME แปลงสินทรัพย์เป็นทุน การให้เงินหมู่บ้านละล้านและให้ประชาชนจัดการกันเอง การปล่อยกู้ให้ SME ต่างๆ การแปลงสินทรัพย์แผงค้า ร้านเล็ก ให้สามารถกู้ได้กับ ออมสิน เป็นการตัดรายได้ของ ผู้ให้กู้นอกระบบ ที่เอาเปรียบคนจนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ซึ่งคนพวกนี้ก็จะอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ที่มีฐานะ และทำนาบนหลังคน เป็นอาชีพ อยู่แล้ว ย่อมเกลียดท่านเป็นธรรมดา

7. จัดตั้งบริษัทร่วมทุนในการกำหนดราคายางกับ มาเลเซียและอินโดนีเซีย ท่านโดนแน่จากผู้เสียประโยชน์ พ่อค้าคนกลางที่กดราคายางไว้มานาน และช่องทางการหากินจากข้าราชการและนักการเมืองที่ หากินกับยางมาช้านาน

8. ปฏิรูปราชการ จากนโยบายนี้ "เช้าชาม เย็นชาม" เริ่มไม่มีเห็นในระบบราชการไทย ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่เราไปติดต่อสถานที่ราชการ จะรวดเร็วและสะดวกขึ้นกว่าเดิม งานนี่ข้าราชการที่ไม่สามารถ หารายได้จากการเรียกผลประโยชน์จากการติดต่อ เงินใต้โต๊ะก็หายไปเยอะ เช่นการประมูลเลขสวย เที่ยวหนึ่งๆ ได้เงินประมูลเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท ผลประโยชน์นี้ คนที่เคยได้ก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา

9. สนามบินสุวรรณภูมิ ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เมื่อมีการย้ายสนามบินไปจากดอนเมือง กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์นั้นคือใคร ที่อยู่แถวดอนเมือง กลุ่มมาเฟีย อิทธิพลต่างๆ รายได้หดหายไปเยอะ มาก จึงต้องมีมาตรการย้ายเที่ยวบินในประเทศกลับมาดอนเมืองอีก

และยังมีอีกมากมายที่บุรุษที่โง่เขลาคนนี้ ได้สร้างศัตรูไว้อีก ซึ่งเป็นการสร้างความเจ็บแค้นให้กับพวกเขา แต่ยังไงก็แล้วแต่ บุรุษผู้นี้กลับสร้างคุณประโยชน์ ให้กับรากหญ้าที่มีจำนวนมากกว่า ผู้ที่เสียประโยชน์อีกมากมาย จึงทำให้เขาครองใจคนรากหญ้าที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบาย ทำให้รากหญ้าได้ลืมตาอ้าปากบ้าง แม้จะไม่มากในสายตาคนที่พอจะมีกินหรือเศรษฐีต่างๆ แต่มันก็เพียงพอสำหรับเขา รากหญ้าผู้ด้อยโอกาส ในสังคมไทยที่โดนกดหัวเพราะความด้อยโอกาส ของเขามานาน

"และถึงแม้คุณ จะเป็นบุรุษที่โง่เขลา ที่สร้างแต่ศัตรูทั่วประเทศ กับคนชั่วๆ แต่ยังไง คุณก็เป็นผู้บริหารคนหนึ่งที่ผมยกให้ว่าเป็น นายกฯที่ปฏิรูป ให้ประเทศไทยได้ก้าวเดินไปข้างหน้า อย่างเป็นรูปธรรม และประสบผลสำเร็จ อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าที่เป็นมา"



เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก
By: Thaksin Shinawatra


44, 8 ตุลาคม 2556

Me and My Country (1)

ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการเล่าเรื่องเบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิครับ

ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการประกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อนเป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้านเพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้

ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพงเกินจริงและรองรับผู้โดยสารได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ปุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บริษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะไม่จริง

ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้องยกเลิกการประมูลและแก้แบบใหม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป็นไร ผมใช้เงินแบงค์กรุงไทยกับแบงค์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่

ผลปรากฏว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลังจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย

และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับมาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องการของเขาและของเรา)

ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่าไทยจะไม่ยอมกู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญาที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำรองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากกว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน

ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดดออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือเต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้องใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มีใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา

ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาประกอบกับการปรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออกที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสามารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้องยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้

ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลายคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นนักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งหมดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก 6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะว่าอีก 6 เดือนจะชำระ

ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย

สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศาสตร์การเงินและการทำงานที่ควบคู่กันได้ดี เราจะสร้างTrust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในที่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เราได้ใช้บริหารและสร้างรายได้อย่างไม่จำกัดครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ

@ เชิญติดตามตอนแรกและตอนต่อๆไป : "เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก"