ไทยคม ในความทรงจำของทักษิณ "ไม่ใช่ความโลภแต่เป็นสิ่งต้องทำ"
สำหรับความเป็นมาของดาวเทียมไทยคมนั้นถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ทำให้ชายที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในทางธุรกิจ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเล่าถึงความพยายามในการก่อร่างสร้างดาวเทียมไทยคมไว้ในหนังสือ "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกอัตชีวประวัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเป็นทางการเอาไว้ดังนี้...
พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าว่า อันที่จริงหลังบรรลุถึงบันไดขั้นสูงสุด คือ นำบริษัท(เครือชินวัตร)เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯก็นับได้ว่าทั้งธุรกิจในเครือและสถานะของครอบครัวผมถือว่ามั่นคงแล้ว ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนทำกิจการอะไรเพิ่มเติมต่อไปอีกก็ได้ แต่ผมไม่หยุดอยู่เพียงนั้น ตามประสาคนชอบสรรหาเรื่องมาคิดลับสมอง เมื่อผมมองย้อนกลับมาดูภาพรวมทั้งหมดของธุรกิจ
ผมจึงพบว่ายังมีบางอย่างที่ต้องเพิ่มเติมเข้าไป ถ้าเปรียบธุรกิจโทรคมนาคมของผมเป็นภาพจิ๊กซอว์ ภาพนี้ยังขาดจิ๊กซอว์ตัวใหญ่และสำคัญไปตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวที่ผมบอกกับภรรยา ปั๊บเธอคัดค้านทันที
อ้อ(คุณหญิงพจมาน ชินวัตร)ว่า เราเหนื่อยมามากแล้วพอแค่นี้เถอะตอนนี้ทุกอย่างก็มั่นคงหมดหนี้สิน ครอบครัวมีเงินพอใช้ไม่เดือดร้อน อย่าไปโลภอีกเลยค่ะ คุณอ้ออุทธรณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องของความโลภหรือผลประโยชน์เลยน่ะน้องอ้อ แต่เป็นการทำสิ่งที่ควรทำ
จิ๊กซอว์ส่วนสำคัญดังกล่าว คือ ดาวเทียม ซึ่งเวลานั้นเป็นเรื่องไกลเกินฝันของคนไทยมาว่าจะมีดาวเทียมเป็นของคนไทยเองได้อย่างไร แม้รัฐบาลคือกระทรวงคมนาคมพยายามจะหาเอกชนเข้ามาทำมานานหลายปีแล้ว ผมจึงเข้าใจว่าเหตุไรคุณอ้อจึงไม่เห็นด้วย ออกจะเห็นใจด้วยซ้ำว่าเธอคงอยากผันตัวเองไปเป็นแม่บ้านเต็มตัวสักทีและอย่าว่าแต่เธอซึ่งเป็นแม่บ้านเลย ต่อให้นักธุรกิจทั่วไปก็คงไม่คิดจะลงทุนทำธุรกิจนี้
น้องอ้อต้องเข้าใจว่าเหมือนเราขับเครื่องบินขึ้นไป ถ้าเครื่องโผจากพื้นดินแล้วยังขึ้นไปไม่ถึงความสูงระดับ 30,000 ฟุต กัปตันก็ไปกินกาแฟไม่ได้ เพราะเครื่องบินยังไม่ได้ระดับ ทำนองเดียวกับธุรกิจโทรคมนาคม เราต้องผลักดันให้มันไปถึงจุดหนึ่ง นั่นคือการมีดาวเทียม
อีกไม่นานระบบสื่อสารจะเกิดการ marriaged (รวมตัวกัน) ทางเทคโนโลยีระหว่างข้อมูลเดต้าหรือคอมพิวเตอร์ วิดีโอ กับโทรคมนาคม เรามีธุรกิจในกลุ่มนี้ครบทุกอย่าง แต่ยังขาดเน็ตเวิร์กหรือสิ่งที่จะมาครอบคลุมเชื่อมโยงธุรกิจทั้งหมดนี้อีกทีหนึ่ง
ทีนี้เน็ตเวิร์กนี่สำหรับประเทศไทยแล้วทำได้ 2 ทางคือ ทางพื้นกับทางอากาศ ทางพื้นลงทุนสูงมากและใช้เวลานาน เหลือแต่ทางอากาศก็คือดาวเทียม โดยเทคโนโลยีแล้วนี่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ถูกต้องที่สุด
คุณอ้อเธอคงอยากให้กัปตันของเธอปลีกตัวไปกินกาแฟได้เสียที ในที่สุดจึงยอมเห็นด้วยกับการโหมโรงทำธุรกิจมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ธุรกิจที่การลงทุนครั้งแรกถือว่าใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราสองคน
อาจกล่าวได้ว่าปี2533 เป็นปีที่สำคัญที่สุดของชีวิตการทำธุรกิจของผมเพราะโครงการใหญ่ๆ อันเป็นรากฐานแท้จริงของชินวัตรล้วนกำเนิดในปีนี้ โครงการดาวเทียมก็เช่นกัน ชินวัตรเข้าร่วมประมูลสัมปทานดาวเทียมในยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แข่งกับอีก 5 บริษัทใหญ่ คือ ไทยแสท,โมดูลาร์,แอซตรา,คอมแสท และ วาเคไทย
แต่คราวนี้เรามีความพร้อมมากกว่าโครงการใดๆที่ผ่านมาเนื่องจากได้อาศัยใบบุญความสำเร็จของโครงการก่อนหน้า ไม่ต้องเตรียมงานแบบยาจกเหมือนโปรเจ็กต์อื่น ผมจึงเชื่อมั่นอย่างไรเราจะต้องประมูลได้แน่นอน โดยการเสนอผลประโยชน์ให้รัฐ 15.33% ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี และประกันผลกำไรขั้นต่ำไว้ 1,350 ล้านบาท
ผมถือว่าโครงการดาวเทียมไทยคมเป็นความ ภาคภูมิใจ ร่วมของคนไทยที่จะได้มีดาวเทียมเป็นของชาติตนเองเสียที ไม่ต้องไปพึ่งพาต่างด้าวอีก
ผลการเปิดซองประมูลโดยมีคุณศรีภูมิ ศุขเนตร ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานสรุปว่า ผู้เสนอประโยชน์สูงสุดให้แก่รัฐ คือ ชินวัตร จุดเริ่มต้นของโครงการไทยคมจึงออกจะดูสวยงามกว่าโครงการเก่าทุกโครงการ และตามรูปการแล้ว ผมควรจะได้เริ่มโครงการในปี 2533 นั้นเลย
แต่ชีวิตผมไม่เคยได้ทำอะไรง่ายๆ ตามความตั้งใจ ทุกครั้งมักจะมีอุปสรรคแวะเข้ามาทักทายเสมอ แม้กระทั่งโครงการดาวเทียมไทยคม ซึ่งลงมือ ณ วันที่ความพร้อมด้านธุรกิจแทบจะสมบูรณ์ที่สุด เป็นอุปสรรคที่ลากโครงการให้ยืดยาวออกไปเกือบ 2 ปีกว่าจะลงมือได้จริงจัง และเป็นอุปสรรคที่ลากเอาชื่อเสียงของผมเข้าไปเกี่ยวกับความเปรอะเปื้อนของวงการเมือง ตั้งแต่ผมยังไม่เข้าไปทำการเมืองเสียอีก
ขอบคุณเนื้อหา : หนังสือตาดูดาวเท้าติดดินหน้า 138
ทักษิณ บุรุษผู้โง่เขลา เบาปัญญา..นายกรัฐมนตรี
ปี 2544-2549
By:
หนุมานมาเอง เว็บ thaifreenews
ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่มีฐานะการเงิน การคลังดี เงินสำรองมากมาย ยกเลิกรับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ และประกาศให้การช่วยเหลือประเทศอื่น รวมทั้งให้กู้ด้วย...นั่นเกิดขึ้นในยุครัฐบาล ทรท.
มองย้อนกลับไปก่อน19ก.ย.2549...บัดnow มันหายวับไปกับตา...ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่มีฐานะการเงิน การคลังดี เงินสำรองมากมาย ยกเลิกรับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ และประกาศให้การช่วยเหลือประเทศอื่น รวมทั้งให้กู้ด้วย...
เสียดายโอกาสประเทศไทยจริงๆ...ดูทีไร...เสียดายทุกที...พับผ่า!
สุดยอดจริงๆ คิดได้อย่างไร...ได้โปรดกลับมา ทำ Mind Map ต่อเถิดครับ ท่านนายกฯทักษิณ...
บุคคล คนนี้ ประสบความสำเร็จในชีวิตในด้านการงานรวยมีเงินเป็นหมื่นๆล้าน แต่ก็ยังอยาก ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือรักษาธุรกิจ ตัวเองไว้ก็มิทราบได้ แต่การที่เขาก้าวเข้าสู่การเมือง ก็ประกาศสงครามกับคนชั่วๆ ทั้งหลายในชาติบ้านเมือง ซึ่งก่อให้เกิด ผลกรรม ที่กระทำในภายภาคต่อมา โดยนโยบายแต่ละอย่างที่ออกมานั้นผู้ที่เสียผลประโยชน์ ซึ่งหากินกับรากหญ้า หรือผู้ที่อ่อนแอกว่านั้น ได้สูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัวไปมากมาย
1. ประกาศสงครามกับยาเสพติด นโยบายนี้เมื่อเริ่มดำเนินการ ก่อให้เกิดผลดีแก่ชาติ มหาศาล จากที่ประชาชน เยาวชน ที่ติดยาบ้า มีข่าวจี้ตัวประกันรายวัน พาดหัวหนังสือพิมพ์ อยู่ทุกวัน กลายเป็นการฆ่าตัดตอน โดยฝ่ายที่เป็นเจ้าหน้าที่ หรือ พวกเดียวกันเอง ซึ่งก็ไม่มีใครทราบได้ แต่ก็โดนใส่ร้ายโดย นักสิทธิมนุษยชนว่า โดนฆ่าตัดตอนโดยฝ่ายรัฐบาล แต่ก็โดนประชาชนตบหน้า โดยการสำรวจว่าพอใจในนโยบายและการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลเป็นอันดับ 1 ตลอดการบริหารงานของรัฐบาลแม้ว 1
2. ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งงานนี้ ผู้มีอิทธิพล ในประเทศไทย ก็ไม่มีใคร นอกจากพวกที่มีสีทั้งหลาย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้ง ตร. ทห. ขรก. ที่มีอำนาจอยู่ในมือและ ใช้อำนาจโดยมิชอบเป็นผู้เสียหายจากนโยบายนี้ อย่างมาก จึงก่อเกิดให้มีการปฏิวัติตามมา ในยุคนี้ซึ่งไม่น่าจะมีเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเลยในประเทศไทย
3. จัดระเบียบสังคม งานนี้ต้องยกนิ้วให้กับ ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ดำเนินการจัดระเบียบสังคมให้กับเมืองไทย กับสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืน ที่มอมเมาเยาวชน ที่ปล่อยปะ ละเลยมานานปล่อยให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปเที่ยว มัวเมากับอบายมุขชนิดนี้ ซึ่งผู้ที่เสียหายจากนโยบายนี้กว้างขวางทั้ง ผู้มีอิทธิพลที่มีสีทั้งหลายที่เรียกเก็บ หัวคิวจากร้านที่อนุญาตให้เปิดเกินเวลา และให้เด็กอายุน้อยเข้า ซึ่งพวกนี้ คุมโดยสีกากี และสีเขียว เสียหายกันมาก
4. 30บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่ทำให้หมอที่เปิดคลินิกเสียหายกันอย่างมาก และการที่จะออกกฎหมายให้หมอสั่งจ่ายยาได้อย่างเดียว ไม่สามารถ ขายยาได้ก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้ กลุ่มชนชุดสีขาวที่มีรายได้จากส่วนนี้ ต่อต้าน
5. หวยบนดิน ปฏิเสธไม่ได้ว่า หวยใต้ดินนั้นอยู่คู่เมืองไทยมานานไม่มีใครปราบได้ แต่มายุติ ในยุคของนายกคนนี้ ผู้ที่เสียผลประโยชน์ซึ่งมีมูลค่าเป็นหมื่นล้านต่อปี ย่อมไม่พอใจท่านเป็นธรรมดา เจ้ามือหวย รวมทั้งสีกากีที่มีผลประโยชน์ในด้านนี้ด้วย ก็จะรุมจวกท่านเป็นธรรมดา
6. กองทุนหมู่บ้าน SME แปลงสินทรัพย์เป็นทุน การให้เงินหมู่บ้านละล้านและให้ประชาชนจัดการกันเอง การปล่อยกู้ให้ SME ต่างๆ การแปลงสินทรัพย์แผงค้า ร้านเล็ก ให้สามารถกู้ได้กับ ออมสิน เป็นการตัดรายได้ของ ผู้ให้กู้นอกระบบ ที่เอาเปรียบคนจนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ซึ่งคนพวกนี้ก็จะอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ที่มีฐานะ และทำนาบนหลังคน เป็นอาชีพ อยู่แล้ว ย่อมเกลียดท่านเป็นธรรมดา
7. จัดตั้งบริษัทร่วมทุนในการกำหนดราคายางกับ มาเลเซียและอินโดนีเซีย ท่านโดนแน่จากผู้เสียประโยชน์ พ่อค้าคนกลางที่กดราคายางไว้มานาน และช่องทางการหากินจากข้าราชการและนักการเมืองที่ หากินกับยางมาช้านาน
8. ปฏิรูปราชการ จากนโยบายนี้ "เช้าชาม เย็นชาม" เริ่มไม่มีเห็นในระบบราชการไทย ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่เราไปติดต่อสถานที่ราชการ จะรวดเร็วและสะดวกขึ้นกว่าเดิม งานนี่ข้าราชการที่ไม่สามารถ หารายได้จากการเรียกผลประโยชน์จากการติดต่อ เงินใต้โต๊ะก็หายไปเยอะ เช่นการประมูลเลขสวย เที่ยวหนึ่งๆ ได้เงินประมูลเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท ผลประโยชน์นี้ คนที่เคยได้ก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา
9. สนามบินสุวรรณภูมิ ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เมื่อมีการย้ายสนามบินไปจากดอนเมือง กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์นั้นคือใคร ที่อยู่แถวดอนเมือง กลุ่มมาเฟีย อิทธิพลต่างๆ รายได้หดหายไปเยอะ มาก จึงต้องมีมาตรการย้ายเที่ยวบินในประเทศกลับมาดอนเมืองอีก
และยังมีอีกมากมายที่บุรุษที่โง่เขลาคนนี้ ได้สร้างศัตรูไว้อีก ซึ่งเป็นการสร้างความเจ็บแค้นให้กับพวกเขา แต่ยังไงก็แล้วแต่ บุรุษผู้นี้กลับสร้างคุณประโยชน์ ให้กับรากหญ้าที่มีจำนวนมากกว่า ผู้ที่เสียประโยชน์อีกมากมาย จึงทำให้เขาครองใจคนรากหญ้าที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบาย ทำให้รากหญ้าได้ลืมตาอ้าปากบ้าง แม้จะไม่มากในสายตาคนที่พอจะมีกินหรือเศรษฐีต่างๆ แต่มันก็เพียงพอสำหรับเขา รากหญ้าผู้ด้อยโอกาส ในสังคมไทยที่โดนกดหัวเพราะความด้อยโอกาส ของเขามานาน
"และถึงแม้คุณ จะเป็นบุรุษที่โง่เขลา ที่สร้างแต่ศัตรูทั่วประเทศ กับคนชั่วๆ แต่ยังไง คุณก็เป็นผู้บริหารคนหนึ่งที่ผมยกให้ว่าเป็น นายกฯที่ปฏิรูป ให้ประเทศไทยได้ก้าวเดินไปข้างหน้า อย่างเป็นรูปธรรม และประสบผลสำเร็จ อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าที่เป็นมา"
เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก
By:
Thaksin Shinawatra
44, 8 ตุลาคม 2556
Me and My Country (1)
ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการเล่าเรื่องเบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิครับ
ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการประกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อนเป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้านเพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้
ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพงเกินจริงและรองรับผู้โดยสารได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ปุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บริษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะไม่จริง
ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้องยกเลิกการประมูลและแก้แบบใหม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป็นไร ผมใช้เงินแบงค์กรุงไทยกับแบงค์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่
ผลปรากฏว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลังจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย
และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับมาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องการของเขาและของเรา)
ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่าไทยจะไม่ยอมกู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญาที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำรองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากกว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน
ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดดออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือเต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้องใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มีใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา
ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาประกอบกับการปรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออกที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสามารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้องยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้
ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลายคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นนักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งหมดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก 6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะว่าอีก 6 เดือนจะชำระ
ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย
สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศาสตร์การเงินและการทำงานที่ควบคู่กันได้ดี เราจะสร้างTrust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในที่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เราได้ใช้บริหารและสร้างรายได้อย่างไม่จำกัดครับ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ
@ เชิญติดตามตอนแรกและตอนต่อๆไป :
"เล่าให้ฟัง >> ทักษิณ..บินไปทั่วโลก"